Muay Thai vs Kickboxing สไตล์แตกต่างระหว่างสองศิลปะการต่อสู้
Muay Thai vs Kickboxing หลายคนเข้าใจว่า คิกบอกซิ่ง ไม่ต่างอะไรกับมวยไทย เพียงแต่ว่า จะไม่มีการใช้ เข่า และ ศอก แต่ในความจริงแล้ว จะมีใครรู้ไหมว่า ทั้งสองศิลปะการต่อสู้ที่เป็นกีฬามวยนี้ มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีการข้ามสาย อย่างที่เราจะเห็น นักมวยไทยไปขึ้นชกกับนักมวยคิกบอกซิ่ง หรือนักมวยต่างประเทศ คิกบอกซิ่งมาชกกับมวยไทย แต่ทว่าทั้งสองกีฬานี้ ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี
ต้องบอกก่อนว่า คิกบอกซิ่ง ใช้อาวุธได้เพียง 4 จุดเท่านั้น ซึ่งก็คือ 2 หมัด 2 เท้า ส่วนมวยไทยของบ้านเรา ใช้ได้ ตั้งแต่ 2 หมัด 2 เท้า 2 เข่า 2 ศอก และสามารถกอดกัน เพื่อสร้างจังหวะวงในได้ ซึ่งแตกต่างกับ คิกบอกซิ่ง ที่ไม่มีการอนุญาตให้กอดกัน ในบางโปรโมชั่น ถึงขนาดที่ต้องแยกมวยทันที หากมีการกอด
มีข้อความส่วนหนึ่ง จากบทความ คิกบอกซิ่ง vs มวยไทย : ความเหมือนที่แตกต่างกัน ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากประสบการณ์ และการสืบค้นข้อมูลของ เบนจามิน ซินบีมวยไทย ผู้ที่เคยผ่านการชก ทั้ง มวยไทย MMA บราซิเลียน ยิวยิตสู รวมถึงการต่อสู้แบบตะวันตก
เขาให้คำอธิบายไว้ว่า คิกบอกซิ่ง มีรากส่วนหนึ่งมาจาก มวยไทย แต่ทั้งสองกีฬาก็มีสไตล์ การต่อสู้ที่แตกต่าง พอสมควร ซึ่งเบนจามิน ก็ได้ให้ตัวอย่างว่า คิกบอกซิ่ง แบบอเมริกา (American Kickboxing) เป็นรูปแบบการต่อสู้ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมวยไทยเลย แต่ได้รับอิทธิพลมาจาก การเตะแบบ คาราเต้ ฟูล คอนแทก (Karate Full Contact) ซึ่งก็ได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา ยุค 60s – 80s ผสมผสานกับ คิกบอกซิ่งของญี่ปุ่น ก่อนพัฒนามาเป็นการ คิกบอกซิ่ง แบบฉบับอเมริกา ที่จะไม่มีการเตะต่ำกว่าเข็มขัด และห้ามกอด (จะถูกแยกทันที)
ในขณะที่ ฝั่งญี่ปุ่น คิกบอกซิ่ง อย่างรายการ K-1 สามารถเตะได้ทั้งส่วนบน และ ส่วนล่าง ของร่างกาย รวมถึงเคยอนุญาตให้ตีเข่าได้ กอดได้ (แต่จำกัดจำนวนครั้ง) เช่นเดียวกันกับ คิกบอกซิ่งแบบดัตช์ (Dutch Kickboxing) ที่จะมีการอนุญาตให้เตะ ตัดล่างได้ เพราะได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่น ส่วน คิกบอกซิ่งแบบจีน (Chinese Kickboxing, San Chou, Sanda) จะมีการผสมผสานระหว่าง มวยไทย กังฟู ยูโด มวยปล้ำ ที่สามารถจับทุ่ม และกอดได้
ความแตกต่างในเรื่องของสไตล์ และรูปแบบการชก ของ คิกบอกซิ่ง ที่มีความหลากหลาย ตามแล้วแต่ประเทศต่าง ๆ ย่อมทำให้ นักมวยไทย ที่มองหาชื่อเสียง ต้องออกไปต่อยในกติกา คิกบอกซิ่ง ในต่างแดน (เพราะในประเทศไทยเราไม่มีการจัด คิกบองซิ่งอาชีพ) จึงมักดูเสียเปรียบคู่แข่ง ตั้งแต่ยุคบุกเบิง K-1
เนื่องจาก คิกบอกซิ่ง เป็นกีฬาหนึ่ง ที่มีกฎ กติกา วิธีการให้คะแนน ที่ไม่เหมือนกับมวยไทยเลย ทำให้นักมวยบ้านเรา ขาดความเข้าใจในบางเรื่อง พบเจอกับความยากลำบาก และไม่สามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากถูกลดทอนอาวุธลง แถมบางครั้ง ก็ถูกตัดคะแนนเพราะทำฟาวล์ ในจังหวะที่ตัวเองคุ้นเคย
นักมวยไทยใน K-1 คือนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก เปรียบเหมือนสัตว์ประหลาดที่นักมวยญี่ปุ่นต้องเอาชนะ
เราต่างรู้ว่ามวยไทยเป็นกีฬาที่ต่างชาติให้การยอมรับ และชื่นชอบเป็นอย่างมาก รวมถึงนักมวยไทย มักจะดูดุดันและแข็งแกร่งในสายตาคนทั่วโลก ดังนั้นแล้ว ด้วยความที่เขานับถือนักมวยไทยมาก K-1 จึงพยายามเอานักมวยไทยไปชก คิกบอกซิ่ง ด้วยการวางคาแร็คเตอร์ไว้ให้เราเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดที่นักมวยญี่ปุ่นต้องเอาชนะให้ได้
นักมวยไทย กับ นักคิกบอกซิ่ง ถูกฝึกฝนมาแบบต่างกัน เพราะด้วย กฎ กติกา และวิธีการเอาชนะ ยกตัวอย่างง่าย ๆ นักมวยไทย จะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ต้องฝึก ความทนทาน อืด ทนต่อความเจ็บปวด เพราะต้องเอาร่างกายรับอาวุธหนักของคู่ต่อสู้เสมอ แต่เครื่องร้อนช้า เพราะคุ้นชินกับการชกแบบมวยไทย 5 ยก ดังนั้น ยก 1-2 จึงเป็นการลองเชิง ที่มีผลต่อราคาต่อรองการพนัน
เราจะสังเกตได้ว่า มวยไทย ไม่ค่อยมีการน็อกกันในยกแรก จากนั้นจึงค่อย ๆ ไต่ระดับการชกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึง ยกที่ 4 ที่จะเป็นยกที่ชี้ขาด ต้องมีการตีเข่า ฟันศอก ให้คู่ต่อสู้ มีอาการเสียทรงมวย หรือ น็อกเอาท์ไปเลย
ซึ่งมีความแตกต่างกับ คิกบอกซิ่ง ที่จะไม่มีการตัดสินจากทรงมวย แต่จะให้คะแนนจากการที่ใครเป็นฝ่ายต่อยได้ เตะได้เข้าเป้า เสียมากกว่า ดังนั้น นักคิกบอกซิ่ง จึงใส่กันตั้งแต่ยกแรก เพราะมีเพียงแค่ 3 ยก แถมยังมีการออกหมัดชุด
และปล่อยหมัดที่มากกว่าในมวยไทย กลายเป็นว่า นักมวยไทย ที่ไม่คุ้นชิน จึงมีปัญหาในการปรับตัว ช่วงยก 1 และกลางบยก 2 รวมถึงผิดกติกาไปกอดไล่แขน โน้มคอตีเข่า ที่มวยไทยเราชิน ๆ กัน
คิกบอกซิ่ง มีการเคลื่อนไหวศรีษะ และฟุตเวิร์ก เพื่อสร้างจังหวะการชก ซึ่งแตกต่างกับมวยไทย ที่จะเน้นไปที่การกอดเพื่อสร้างจังหวะตีเข่าฟันศอก แม้แต่การเตะของ คิกบอกซิ่ง ก็ไม่เหมือนกับมวยไทย เพราะคิกบอกซิ่ง เน้นการเตะแบบเหวี่ยงสะโพกให้เข้าเป้า ส่วนมวยไทยเน้นการเตะที่รุนแรงด้วยหน้าแข้ง เพื่อทำให้คู่แข่งเสียอาการ รวมถึงลูกถีบ ที่จะไม่ค่อยเกิดขึ้นบนเวทีคิกบอกซิ่ง
Muay Thai vs Kickboxing มวยไทยในการแข่งขันกีฬามวยคิกบอกซิ่ง
ด้วยการที่มวยไทย และ คิกบอกซิ่ง ต่างมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ทำให้ นักมวยไทย หลาย ๆ คน ที่หลายข้ามสายไปต่อย คิกบอกซิ่ง ต่างเจอปัญหากับการปรับตัว แม้จะมีต้นทุนร่างกายที่แข็งแกร่งดี และทักษะการเตะที่รุนแรงมากก็ตาม
นอกจากเรื่องนั้นแล้ว ก็ยังมีปัญหาอีกหนึ่งปัญหา นั่นก็คือ เรื่องสรีระ น้ำหนัก ที่ในการแข่งขันคิกบอกซิ่งอาชีพของฝั่งยุโรป ไม่ค่อยนิยมจัดรุ่นเล็ก ดังนั้นหากนักมวยไทยที่ต้องการไปชิงแชมป์ ข้ามสาย จึงต้องทำน้ำหนักให้มากขึ้นในระดับหนึ่งเพื่อให้เข้าเกณฑ์
ดังนั้นเอง นักมวยไทยที่ผันตัวไปต่อย คิกบอกซิ่ง จึงนิยมต่อยในโซนเอเชีนมากกว่า อย่างเช่นในประเทศจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ในโปรโมชั่นของ ONE Championship ก็เริ่มมีการจัดการแข่งขันคิกบอกซิ่งแล้ว แมตช์ล่าสุดที่ช็อคไปตาม ๆ กันเลยก็คือ ซุปเปอร์บอน ปะทะ เปโตรเซียน เป็นต้น ที่นักมวยไทยอย่าง ซุปเปอร์บอน สามารถเอาชนะเจ้าพ่อของวงการคิกบอกซิ่งได้
ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : UFABET, ดูอนิเมะออนไลน์
อ่านเพิ่มเติม => Errol Spence Jr.