ประวัติ Dave Bautista อดีตนักมวยปล้ำมืออาชีพ ซูเปอร์สตาร์คนดัง ที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง
เสียงเพลง I Walk Alone ของวง Saliva ดังกระหึ่มขึ้นทั่วอารีน่า พร้อมกับการเปิดตัวของนักมวยปล้ำร่างใหญ่สูงเกือบสองเมตร ที่ก้าวออกมาสู่สายตาผู้ชม นักมวยปล้ำคนนี้มีท่าซิกเนอร์เจอร์ของเขา นั่นก็คือการถือปืนกลอากาศ กราดยิง ตามด้วยเสียงตู้มต้ามและแสงพลุไฟาสุดอลัง เป็นการเปิดตัวอย่างอลังการของ Dave Bautista หรือที่รู้จักกันในชื่อบนสังเวียนว่า บาทิสตา
“I’ve walked for miles inside this pit of danger, I’ve swallowed down a thousand years of anger. The weight of the world has fallen on my shoulders, a place where no one follows me, I walk alone..” เนื้อเพลง I Walk Alone ของ Saliva เพลงประจำตัวบาทิสตา
วันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ นักมวยปล้ำคนดัง ที่ทั้งชีวิตผ่านอะไรมาเยอะ จากนักมวยปล้ำ ไปเป็นนักสู้ MMA และปัจจุบันได้กลายมาเป็นดาราหนังแสดงในหนังฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง
เดวิด ไมเคิล บอทิสตา จูเนียร์ (David Michael Bautista Jr.) เกิด 18 มกราคม ค.ศ. 1969 เขาเป็นนักแสดง นักมวยปล้ำอาชีพที่เกษียณอายุไปแล้ว และเป็นอดีตนักต่อสู้แบบผสมผสานชาวอเมริกัน โดยมีฉายาว่า “ดิ แอนิมอล” (The Animal)
เป็นที่รู้จักดีบนสังเวียนในนาม บาทิสตา (Batista) เขาเคยเป็นแชมป์ WWE 2 สมัย แชมป์โลกเฮฟวี่เวท 4 สมัย แชมป์แท็กทีม WWE 4 สมัย ผู้ชนะรอยัลรัมเบิลประจำปี 2005 และ 2014
นี่คือเรื่องราวชีวิตของ บาทิสตา ที่เราจะพาผู้อ่านทุกท่านย้อนรอยไปดูว่า กว่าที่เขาจะกลายมาเป็น ซูเปอร์สตาร์ของวงการมวยปล้ำนั้น เขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า เส้นทางชีวิตของ เดฟ บาทิสตา นี้ไม่ได้ราบรื่นเลย
เพราะว่าเกิดมาในครอบครัว ที่ไม่ใช่แค่พอมีพอกิน แต่พวกเราไม่มีอะไรเลย
เดฟ บอทิสตา (Dave Bautista) เกิดที่บริเวณตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ โดยเขาแม่ของเขาเป็นช่างทำผม ในขณะที่พ่อเกิดในตระกูลของผู้อพยพจากประเทศฟิลิปปินส์ และทำงานหาเช้ากินค่ำ หารายได้มาเลี้ยงปากท้องครอบครัว ชีวิตสมรสของทั้งสองไม่ได้ราบรื่นดีนัก ต่อมาทั้งคู่จึงหย่าร้างกัน ตั้งแต่บอทิสตายังเป็นเด็ก
“มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ครอบครัวของเราไม่มีอะไรกินเลย คุณแม่จึงเจียดเงินก้อนหนึ่งไปซื้อถั่วมาต้มให้เรากินทั้งสัปดาห์ แต่โชคไม่ดีที่เธอเผลอทำมันไหม้ เราเลยต้อฝืนกินมันไปทั้งแบบนั้น เพราะเราไม่มีเงินไปซื้ออะไรอีกแล้ว”
เดฟ เล่าถึงอดีต ในวัยเยาว์ ที่ช่วยผลักดันให้เขาต้องลุกขึ้นสู้ชีวิต
สังคมรอบตัวของเขา ในตอนนั้นเต็มไปด้วยความรุนแรง และเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกบ้านในช่วงเวลากลางคืน เพราะกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้นั้น เต็มไปด้วยอันธพาล ยาเสพติด และการปล้นชิง
การเห็นศพเรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เขาเคยเห็นการฆาตรกรรมเต็มสองตา ที่สวนหน้าบ้าน ตั้งแต่อายุไม่ถึงเก้าปีด้วยซ้ำ ด้วยสภาพแวดล้อมแบบนี้เองจึงไม่แปลก ที่ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งอาชญากรรม
“แม่ของผมบอกว่าถ้าผมยังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไป ผมต้องตายแน่นอน เพราะผมถูกจับแทบทุกวันด้วยข้อหาชกต่อยบ้าง ขโมยรถบ้าง หรืออะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กอายุ 12 ปี พอจะทำได้ และเธอคือคนที่ต้องไปพาตัวผมกลับมาจากสถานีตำรวจเสมอ”
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า การปล้นชิง คือการเล่นซนตามมุมมองของเด็กที่เกิดมาในย่านสังคมแถบนั้น โดยที่เขาไม่ได้ปล้นเพื่อจะเอาเงินทอง แต่จะเป็นการขโมยเอาของเล่น เสื้อกันหนาว หรืออะไรที่เขาไม่มีปัญญาซื้อ
วงจรเหล่านี้หมุนเวียนไม่จบสิ้น เขายังคงเข้าออกสถานพินิจ จนนับครั้งไม่ถ้วน จนกระทั่งถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งตอนนั้นเองที่เขาเริ่มเล่นกล้ามเพื่อหวังจะเอาดีทางด้านเพาะกาย รวมถึงได้ทำอาชีพเสริมเป็นบอดี้การ์ดตามไนต์คลับ และจากเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาได้พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต
บอทิสตาได้พบกับสองนักมวยปล้ำระดับตำนานอย่าง Mr. Perfect และ Road Warrior Animal โดยบังเอิญที่โรงยิม ทั้งคู่ประทับใจในรูปร่างของบอทิสตาตั้งแต่แรกเห็น จึงแนะนำให้เขาลองไปสมัครเป็น นักมวยปล้ำอาชีพ แถมยังมั่นใจว่า เด็กหนุ่มคนนี้ จะต้องกลายเป็นเป็น ซูเปอร์สตาร์ ในอนาคตแน่นอน
Dave Bautista เคยเป็นแมลงสาปก่อนจะกลายเป็นสัตว์ร้ายของวงการมวยปล้ำ
เดฟ เริ่มเส้นทางมวยปล้ำ ด้วยการไปคัดตัวกับ WCW สมาคมนักมวยน้ำชั้นนำ แห่งยุค 90s ทว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จเลย แถมยังถูกไล่ออกด้วยข้อหา ไร้ใจในการฝึก อย่างไรก็ตาม เดฟ เคยเล่าไว้ในหนังสือชีวประวัติของเขาว่า ปัญหาจริง ๆ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเขา แต่เป็นความผิดพลาดของผู้สอน ที่ชื่อ Sgt. Buddy Lee คนนั้นต่างหาก
เพราะแทนที่จะได้คัดตัว แบบเน้นไปที่เรื่องของทักษะ แต่มันกลับกลายเป็นการเล่นสนุกและถ่มถุย ของทีมงานพวกนั้นซะมากกว่า โดยจุดที่ทำให้เขารับไม่ได้เลยก็คือ การถูกจับไปฝึกบนอ้วกของคนที่ฝึกไม่ไหว และให้ตะโกนว่า “ฉันคือแมลงสาปที่ใกล้จะตาย” ไปพร้อม ๆ กัน
ถึงแม้จะไม่ประสบความวำเร็จในการคัดตัวกับ WCW แต่การคัดตัวครั้งนั้น ก็ทำให้เขารู้ตัวว่า ตัวเองอยากที่จะนักมวยปล้ำมืออาชีพแค่ไหน หลังจากนั้นมา เขาจึงฝึกฝนอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้สัญญากับ WWE ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง สมาคมนักมวยปล้ำชั้นนำของโลก ก่อนที่จะถูกส่งไปที่ค่ายพัฒนาทักษะชื่อ OVW เพื่อขัดเกลาฝีมือและเริ่มขึ้นปล้ำในนาม Leviathan โดยรับค่าจ้างเพียง 650 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อสัปดาห์
ทั้งนี้ เขาเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ ตำนานนักมวยปล้ำ ในปัจจุบันอย่าง John Cena รวมถึง Brock Lesnar อดีตแชมป์ UFC อีกด้วย จะว่าเป็นพรสวรรค์ ผสานกับความตั้งใจอันแน่วแน่ก็ได้ ที่ทำให้ชื่อเสียงของเขาพุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถคว้าแชมป์เฮฟวีเวตของ OVW ได้หนึ่งสมัย
ในที่สุดเจ้าตัวก็ถูกเรียกตัวกลับไปที่ WWE และเปลี่ยนชื่อปล้ำเป็น Batista ก่อนถูกเลือกให้เข้าร่วมกลุ่มที่ทรงพลังที่สุดแห่งทศวรรษอย่าง Evolution ร่วมกับ Randy Orton, Triple H, และ “The Nature Boy” Ric Flair ซึ่งกลุ่มนี้เอง ที่ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล
ทว่าเส้นทางแห่งความสำเร็จ มักจะไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะทันทีที่บอทิสตาได้เข้าร่วมกลุ่ม Evolution เขาก็เจออาการบาดเจ็บเล่นงานจนต้องพักยาวทันที อีกทั้งทาง WWE คาดหวังให้กลุ่มนี้มีอิทธิพลสูงสุดในวงการ จึงต้องรีบคิดแผนสำรอง เพื่อให้เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไปได้ แผนดังกล่าวคือการตัดเขาออก และเพิ่มสมาชิกใหม่อย่าง Mark Jindrak เข้าไปแทน
อย่างไรก็ตาม สมาคมได้อัดคลิปโปรโมตสมาชิกใหม่เรียบร้อยแล้ว หัวเรือใหญ่ของกลุ่มอย่าง Triple H กลับมองว่าการรอให้บอทิสตากลับมาน่าจะดีกว่า เพราะสมาชิกใหม่ดูจะเคมีไม่ตรงกับคนอื่นในกลุ่มเท่าไรนัก สมาคมจึงลองพิจารณาเรื่องนี้ดูอีกครั้งและเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว เขาจึงได้กลับมาเป็นสมาชิกของกลุ่มอีกครั้ง และประสบความสำเร็จอย่างสูงตลอด 20 ปีในวงการมวยปล้ำ จนถูกเสนอชื่อเข้าสู่ หอเกียรติยศ ในท้ายที่สุด
เส้นทางใหม่ กับการเป็นนักแสดงฮอลลีวูด
หลังจากทำทุกอย่างไปแล้วในวงการมวยปล้ำ เขาขึ้นปล้ำแมตช์สุดท้ายของตนเองในศึก WrestleMania 35 และผันตัวมาเป็นนักแสดงอย่างเป็นทางการ มาถึงตรงนี้ หลายคนคงมองว่าเขาต้องการเดินตามรอยรุ่นพี่อย่าง The Rock ผู้ที่เคยออกมายอมรับว่า ทักษะมวยปล้ำอาชีพ และการแสดงออกต่อหน้าคนหมู่มาก เป็นประโยชน์มาก ๆ ต่ออาชีพนักแสดง
แต่ บอทิสตา กลับมองเรื่องนี้ต่างออกไป เขาอยากลบภาพนักมวยปล้ำของตนออกไปทั้งหมด ต่างจาก The Rock ที่ทุกวันนี้ก็ยังมีกลิ่นอายของนักมวยปล้ำบนสังเวียนผืนผ้าใบ
“ผมแตกต่างจาก The Rock และ John Cena เพราะพวกเขาคือนักมวยปล้ำที่ผันตัวมาเป็นนักแสดง ต่างจากผมที่เป็นนักแสดงเต็มตัวแต่แค่เคยเป็นนักมวยปล้ำมาก่อนเท่านั้น ผมไม่สนใจภาพยนตร์แบบ Fast & Furious หรือ Bumblebee เลย ผมอยากได้บทดี ๆ หรือร่วมงานกับผู้ชนะออสการ์มากกว่า ผมไม่อยากเป็นแค่คนตัวใหญ่ที่โผล่มาพูดอะไรเท่ ๆ ฆ่าศัตรูเยอะ ๆ และเป็นที่โปรดปรานของสาว ๆ แต่ผมอยากเป็นนักแสดงที่ทำให้ผู้ชมร้องไห้ ทำให้พวกเขาขบคิด ตลอดจนให้พวกเขาได้แรงบันดาลใจกลับไป”
บาทิสตา ถือเป็นคนที่มีของ เขาเป็นคนที่มีพลังงานบางอย่าง ที่สามารถดึงดูดให้ผู้ชมสนใจและติดตามผลงานของเขาในทุก ๆ สัปดาห์ ตลอดการเป็นนักมวยปล้ำมืออาชีพ ดังนั้นแม้เส้นทางของ เดฟ บอทิสตา ในวงการภาพยนต์ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่เชื่อว่าด้วยความตั้งใจที่ไม่เคยจางหาย พลังงานดังกล่าวก็คงสามารถทำหน้าที่ เช่นเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในวงการมวยปล้ำ
ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : แทงบอลออนไลน์ , อนิเมะ
อ่านเพิ่มเติม => Hurt Like Hell