สะเก็ดดาว เพชรพญาไท

สะเก็ดดาว เพชรพญาไท เจ้าของฉายา “ดาวมฤตยู” นักชกสูงยาวเข่าดีสุดโหด

สะเก็ดดาว เพชรพญาไท หรือที่รู้จักกันในฉายา “ดาวมฤตยู” เขาคือนักมวยสูงยาว ขุนเข่าแบบดินระเบิด ที่มีลูกเข่ากระชากแทงเร้าใจ ซึ่งหาตัวจับได้ยาก เป็นเจ้าของรางวัลเกียรติยศอีกมากมาย และยังเคยคว้ารางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยมจาก สนามมวยเวทีลุมพินี อีกด้วย

ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนักมวยไทย ดีเด่น ด้านการกีฬาแห่งประเทศไทย ถึง 2 ปีด้วยกัน แถมยังเป็นดาวประดับฟ้าของวงการมวยอีกหนึ่งดวง ที่แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนสไตล์การชก หันมาจับกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) เพื่อพิสูจน์ขีดความสามารถของตนเอง

ซึ่งในศึก ONE: REIGN OF DYNASTIES II เมื่อวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม เก็ดดาว กลับมาชกในกติกามวยไทยครั้งแรกในรอบ 6 ปี เจอกับนักชกชาวจีน “จาง ฉุนยู่” ซึ่งนักชกชาวไทย “ดาวมฤตยู” ก็ได้โชว์ฟอร์มสุดเก๋า เอาชนะ จาง ฉุนยู่ นักชกฝีมือดีจากแดนมังกร ไปแบบสุดมัน

หลังจากที่เราได้รู้จัก สะเก็ตดาว มาอย่างคร่าว ๆ วันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ สะเก็ดดาว ให้มากขึ้น ตั้งแต่ก้าวแรกของการขึ้นสังเวียนศิลปะแม่ไม้มวยไทยจนกระทั่งก้าวขึ้นมาเป็นหน้าใหม่ต้องวงการ MMA

ประวัติ สะเก็ดดาว เพชรพญาไท จากลูกชาวนาสู่ ดาวมฤตยู

สะเก็ดดาว เขามีชื่อจริงว่า “กิตติชัย ชูรัตน์” ชื่อเล่น “อ๋า” ปัจจุบันอายุ 33 ปี เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2530 เป็นบุตรของคุณพ่อวิรัตน์ และคุณแม่สีดา ภูมิลำเนาบ้านเกิดอยู่ที่ ตำบลตามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม มีน้องสาวร่วมท้องหนึ่งคนชื่อ นุสรา

ครอบครัวของ สะเก็ดดาว มีฐานะยากจน โดยมีพื้นเพประกอบอาชีพทำนา ค้าขาย ซึ่งพ่อของสะเก็ดดาวเป็นคนชอบมวย จึงสอนมวยให้เขาตั้งแต่ยังเล็กๆ พออายุ 10 ขวบ จึงส่งไปเรียนมวยที่ค่ายเกียรติถาวร ของ “สมศักดิ์ เทพธานี” ซึ่งเป็นเพื่อนกับพ่อ ซ้อมได้แค่เดือนเดียว เขาขอขึ้นชกประเดิมชื่อ “สามดาว เกียรติถาวร” ในงานกาชาดจังหวัดมหาสารคาม

ผลการชกแพ้คะแนนชนิดที่ยอมรับว่า แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะอากาศหนาวมาก ขยับแขนขาไม่ออก ยืนแข็งให้คู่ชกเตะอยู่ฝ่ายเดียว ก่อนได้รับค่าตัว 100 บาท เป็นการปลอบใจ

สะเก็ดดาว อยู่กับค่ายเกียรติถาวรได้ 3 ปี ก่อนที่ค่ายจะปิดตัวลงเนื่องจากมีคนมาเรียนน้อย จึงย้ายไปอยู่ค่ายศิษย์ดอนคิงส์ ของอดีตนักมวยเก่า “ดอนคิงส์ ห้องอาหารกวิน” พร้อมกับได้ชื่อชกมวยใหม่ว่า “สะเก็ดดาว ศิษย์ดอนคิงส์” เพราะอยากได้ชื่อที่มีดาวหลายๆ ดวง

ด้วยสไตล์การชกที่ดุเดือด เป็นมวยเข่าประเภทเดินหน้า ท้าชนแบบถอยหลังไม่เป็น จึงทำให้ สะเก็ดดาว กลายเป็นมวยถูกตลาด จนโด่งดังขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยมีไฟต์สำคัญเปลี่ยนชีวิต คือไฟต์ที่เดินทางไปชกมวยรายการใหญ่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งก่อนชกตกเป็นรองถึง 3 เท่าตัว แต่ด้วยหัวใจนักสู้ มาแล้วแพ้ไม่ได้ จึงเดินชนและเบียดชนะคะแนนมวยดังรุ่นพี่ “สมรักษ์น้อย ม.เมืองชุมแพ” ไปแบบสะใจกองเชียร์

จากนั้น สะเก็ดดาว ก็ไปเข้าตาแมวมองอย่าง “เบิ้ม ภูดิน” เจ้าพ่อมวยเด็กภาคอีสาน ซึ่งติดต่อทาบทามเขา ด้วยค่าตัวหนึ่งแสนบาท เพื่อไปชกในสายศึกเกียรติเพชร ซึ่งช่วงแรก ๆ น้ำหนักตัวยังไม่ถึง 100 ปอนด์ จึงต้องชกหาประสบการณ์แถวภาคอีสานไปก่อน และได้ชื่อสังกัดใหม่เป็น “สะเก็ดดาว เพชรพญาไท” แต่เก็บตัวที่ค่าย ป.เชิดเกียรติ

ดาวรุ่ง ไล่ปราบพยศมวยเก่ง ครองแชมป์สถาบันหลักเส้นแรก

สะเก็ดดาว เข้าเมืองกรุงครั้งแรก เมื่อตอนอายุได้ 17 ปี ก็ถูกประกบให้เจอของแข็งวัดชั้นอย่าง “หยกขาว ป.บูรพา” มวยเด็กฟอร์มสด ผ่านสังเวียนเมืองหลวงมาแล้วถึง 5 ไฟต์ ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้ทางค่ายผิดหวัง หลังคว้าชัยชนะ ในรายการ ศึกเกียรติเพชร ที่เวทีมวยลุมพินีได้สำเร็จ

ด้วยผลงานชนะมวยเก่งมีระดับในครั้งนั้น สะเก็ดดาว จึงถูกโปรโมตขึ้นชิงแชมป์ช่อง 7 สี รุ่นพินเวต 102 ปอนด์ต่อทันที เจอกับคู่ปรับเก่า หยกขาว ที่ตามมาแก้มือโดย สะเก็ดดาว เป็นฝ่ายย้ำแค้นไปอีกครั้ง และได้ครองแชมป์สถาบันหลักเส้นแรกของชีวิต

หลังจากเป็นแชมป์ช่อง 7 สี สะเก็ดดาว ก็ได้สร้างเกียรติประวัติด้วยการคว้าแชมป์ได้อีกมากมายหลายเส้น ทั้งแชมป์ลุมพินี รุ่นเฟเธอร์เวต 126 ปอนด์, แชมป์ราชดำเนิน รุ่นเฟเธอร์เวต 126 ปอนด์, แชมป์สหพันธ์มวยไทยอาชีพโลก (WPMF) รุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวต 130 ปอนด์, แชมป์ลุมพินี รุ่นไลต์เวต 135 ปอนด์ 2 สมัย, แชมป์สภามวยโลก WBC มวยไทย รุ่นซูเปอร์ไลต์เวต 140 ปอนด์ และแชมป์แม็กซ์มวยไทย ปี 2556 รุ่น 67 กก.

นอกจากกวาดแชมป์หลายต่อหลายเส้น ในช่วงปี 2550-2552 ยังมีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ได้รับรางวัลนักมวยไทยยอดเยี่ยมจากสนามมวยเวทีลุมพินีปี 2550 และรางวัลนักมวยไทยดีเด่น การกีฬาแห่งประเทศไทย ปี 2550 และปี 2552 ยอดมวยมหาสารคาม ช้างเผือกภูธร เจ้าของคติประจำใจ “ยามแพ้อย่าลดละ ยามชนะอย่าลำพอง” ได้ฉายา “ดาวมฤตยู” จากทีมงานเกียรติเพชร เพราะต้องการให้แฟนๆ เห็นภาพความเก่งกาจของ สะเก็ดดาว มากขึ้น

บทบาทใหม่ การเป็นครูมวยและการกลับไปขึ้นสังเวียนอีกครั้ง หน้าใหม่แห่งวงการ MMA

หลังจากที่เขาได้กลายเป็นมวยใหญ่ และมีความเก่งกาจแบบไร้เทียมทาน ก็ทำให้หาตัวคู่ชกยาก แถมด้วยตลาดมวยใหญ่เกิน 136 ปอนด์ ยังไม่เป็นที่นิยมในเมืองไทย จึงจำเป็นต้องคุมน้ำหนัก สุดท้ายหลังแพ้คะแนนให้กับ “ปกรณ์ พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม” เขาจึงตัดสินใจแขวนนวมในปี 2557

ช่วงเวลานั้นเขาถูกทาบทามจาก “ครูเป็ด” ยอดณรงค์ ศิษย์ยอดธง ชักชวนให้ไปสอนมวยไทยที่ยิม Evolve MMA ประเทศสิงคโปร์ สะเก็ดดาว ตัดสินใจเปลี่ยนบทบาทใหม่เป็น “ครูอ๋า” ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2558 เป็นต้นมา

ช่วงสามเดือนแรกของการเป็นครูมวย เขาเกือบถอดใจกับอาชีพใหม่ ไหนจะปัญหาเรื่องของภาษาที่ต้องมีการสื่อสารกับลูกศิษย์ การคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน และห่างครอบครัว แต่โชคดีที่ ครูเป็ด รั้งเขาเอาไว้ พร้อมให้การสนับสนุนและคอยช่วยเหลือ จนสุดท้ายเขาก็สามารถไปต่อกับอาชีพนี้ได้อย่างมีความสุข

หากแต่เส้นทางบนสังเวียนกีฬาการต่อสู้ของ สะเก็ดดาว ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ หลังจากได้คลุกคลีอยู่กับการเรียนการสอนในยิม ที่มีหลากหลายประเภทศิลปะการต่อสู้ ทำให้เขาได้มีโอกาสศึกษาวิชาบราซิเลียนยิวยิตสู และเกิดไฟที่อยากจะขึ้นสังเวียน เมื่อได้เห็นยอดมวยไทย และครูมวยร่วมค่ายอย่าง “เดชดำรงค์ ส.อำนวยศิริโชค” ประสบความสำเร็จบนเวที วัน แชมเปียนชิพ

สะเก็ดดาว ฝึกฝนทักษะการต่อสู้แขนงใหม่อยู่ประมาณสองเดือน ก็ตัดสินใจประเดิมศึกแรกในเดือนมีนาคม 2560 โดยประกาศศักดาบนเส้นทางใหม่ด้วยการชนะทีเคโอตั้งแต่ยกแรก ในกติกาการต่อสู้แบบผสมผสาน (MMA) ซึ่งครั้งนั้นจัดขึ้นที่ประเทศไทย ถือเป็นการกลับโฉมใหม่ในกีฬาที่แตกต่างจากเดิม

ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : แทงบอล , ดูบอล123

อ่านเพิ่มเติม => โตโต้ ป.พงษ์สว่าง