ลดน้ำหนัก

ลดน้ำหนัก แบบจอมพลัง สู่การเป็นนักมวย ของ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน 

ลดน้ำหนัก แบบจอมพลังสู่นักมวย ของ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน  ใครที่เคยดูเรื่อง Game of Thrones อาจจะต้องมีคุ้นหน้าคุ้นตา กับคนร่างสูงใหญ่ ที่มีชื่อว่า The Mountain กันบ้างล่ะ เป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องที่ที่มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ โดยมีคนรับบทคือ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน หนุ่มสตรองแมน นักกีฬาพละกำลัง ผู้ที่เป็นแชมป์ worlds strongest man นั่นเอง

เชื่อว่าหลายคนที่ได้ยินชื่อนี้ ต่างก็คงน่าจะร้องอ๋อกันไม่น้อย เพราะนอกจากรูปพรรณสันฐานจะโดดเด่นแล้ว ยังมีความทรงพลังเป็นอีกภาพจำ โดยเฉพาะในซีซั่น 4 กับฉาก “บีบแตงโม” ในตำนาน

ทว่าตอนนี้ ภาพของ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน ในซีรี่ส์ ถูกสลัดออกไปจนหมดสิ้นด้วยตัวของเขาเอง เพราะนอกจากรอยสัก (ซึ่งอันที่จริง ทีมงานถ่ายทำต้องเมคอัพลบรอยสักก่อนเข้าฉาก) หุ่นของเขายังเปลี่ยนไป จากที่ร่างกายมีไขมัน ก็กลายเป็นหุ่นดีจนซิกแพคขึ้น

ล่าสุดเจ้าตัวมีนัดขึ้นฟาดปากกับ อริในวงการกีฬาพละกำลัง นั่นก็คือ เอ็ดดี้ ฮอลล์ จึงบังเกิดเป็นศึกดวลหมัดของ 2 จอมพลัง “The Beast” เอ็ดดี้ ฮอลล์ ปะทะ “The Mountain” ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน ในไฟต์ที่ถูกเรียกว่า “The Heaviest Boxing Match in History”

และ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน ก็เริ่มต้นฝึกฝนร่างกายในรูปแบบใหม่ เปลี่ยนแปลงทั้งการออกกำลังกายและการกิน ที่จะเป็นการเตรียมพร้อมร่างกายเพื่อขึ้นชกมวย จนทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูกันว่า เขาทำอะไรบ้าง

The Mountain แห่ง Game of Thrones เปลี่ยนโฉมรูปลักษณ์ของเขาได้อย่างไร

ถึงบทบาท The Mountain ใน ซีรีส์ Game of Thrones จะทำให้ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน กลายเป้นที่รู้จักของคนทั่วโลก และโด่งดัง แต่ทว่าในวงการกีฬา เขาก็ยังเป็นที่รู้จักในฐานะ นักกีฬาพละกำลัง สตรองแมน ด้วยดีกรี World’s Strongest Man แห่งปี 2018 และยังเป็นเจ้าของ สถิติยกท่า Deadlift ด้วยน้ำหนัก 501 กิโลกรัม ที่นับว่าเป็นน้ำหนักที่มากที่สุดในโลก เมื่อปี 2020

หลังจากทำสถิติโลกได้ เขาก็ตัดสินใจอำลาวงการจอมพลัง แล้วหันไปเอาดีด้านการชกมวยสากล แม้กีฬามวย ต้องอาศัยพละกำลังเหมือนกัน แต่มวยก็เป็นกีฬาที่ต้องใช้ความคล่องแคล่ว สูงกว่ากีฬาจอมพลังเป็นอย่างมาก ดังนั้นจะต้องมีการฝึกฝนร่างกายกันใหม่ แล้วก็เปลี่ยนแปลงร่างของตัวเอง hafthor bjornsson boxing results

สิ่งแรกเลยที่จอมพลัง กับนักมวยแตกต่างกัน คงหนีไม่พ้นเรื่องการกิน จากเดิมที่เจ้าตัวที่ต้องนำพลังงานเข้าสู่ร่างกาย สูงสุดถึงวันละ 10,000 แคลอรี่ ก็ต้องลดลงมาเหลือเพียงวันละ 4,000 แคลอรี่เท่านั้น โดยเขาแบ่งอาหารออกเป็น 5 มื้อ เจ้าตัวเผยว่า กินแบบนี้แทบทุกวัน

มื้อแรกของวัน ประกอบไปด้วย ไข่ 3 ฟอง, ไก่ 200 กรัม กับสมูธตี้ (โยเกิร์ต 150 กรัม, เบอร์รี่ 100 กรัม, ข้าวโอ๊ต 40 กรัม)

มื้อสอง เนื้อสันใน 220 กรัม, ข้าวขาว 180 กรัม, ผักใบเขียว 100 กรัม

มื้อสาม ไก่ 220 กรัม, มันฝรั่ง 250 กรัม, ผักใบเขียว 100 กรัม

มื้อสี่ ปลาแซลมอน 220 กรัม, ข้าวขาว 100 กรัม, ผักใบเขียว 100 กรัม

และมื้อห้า โยเกิร์ตกรีก 250 กรัม, เนยอัลมอนด์ 30 กรัม, กล้วย 100 กรัม ผสมกัน ตบท้ายด้วยเวย์โปรตีน 1 ช้อนละลายน้ำ

ตามสไตล์ของนักเพราะกล้าม จะต้องมี Cheat Day หรือที่เรียกว่าวันปล่อยผี จะกินอะไรก็ได้ตามใจปาก ซึ่งวันปล่อยผีของเขา ก็ไม่แพ้กับ ดเวย์น จอห์นสัน หรือ The Rock อดีตนักมวยปล้ำที่ปัจจุบันคือดาราฮอลลีวูดระดับ A-List เพราะอุดมไปด้วยอาหารแคลอรี่สูงอย่าง เบคอน และ ฮันนี่โทสต์ วิธีลดน้ำหนักแบบ คนจน

การออกกำลังสุดโหด เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพร่างกาย

การลดน้ำหนักที่ได้ประสิทธิภาพ หรือการควบคุมการกิน ลดน้ำหนัก เพียงอย่างเดียวก็คงไม่พอ เพราะว่าการออกกำลังกายก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ และ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน ใส่สุดกับเรื่องนี้เช่นกัน และถึงขั้นมีการทำคลิป Vlog ลงยูทูบ บอกเล่าคอร์สฟิตหุ่นเพื่อเป็นนักมวยด้วย

โปรแกรมการซ้อม ในแต่ละวันของ ฮาฟธอร์ เรียกไดเว่ามีครบทั้ง คาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง และการฟื้นฟูร่างกาย โดยตอนเช้าจะเป็นการคาร์ดิโอ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ชกมวย ซึ่งมีทั้งการชกกระสอลทราย ล่อเป้า และลงนวมบนเวที

หรือแม้แต่การปั่นจักรยานโยก ซึ่งเขาก็ทำให้ดูในการถ่าย Vlog โดยใช้สูตร ช้า 30 วินาที ปานกลาง 20 วินาที และเร็ว 10 วินาที วันไป 5 รอบ ต่อ 1 เซต พัก 3 นาทีระหว่างเซต โดยทำ 3-6 เซตต่อวัน

ในช่วงบ่าย จะเป็นการเวทเทรนนิ่ง ซึ่งมีหลายท่าด้วยกัน โดยในวันที่เขาถ่ายคลิป Vlog นั้นจะเป็นท่า Shoulder Press 5 ครั้ง Pulldown เซตละ 8 ครั้ง 3 เซต รวมถึงยกดัมเบล เพื่อเสริมกล้ามเนื้อ Biceps, Triceps โปรแกรมจะมีการเปลี่ยนท่าออกกำลังกายไปเรื่อย ๆ ตามแต่วัน และจะไม่เน้นการเวทเทรนนิ่งแบบหนักหน่วง เพียงแค่ให้ร่างกายจดจำความรู้สึกได้

หลังผ่านการฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วง ฮาฟธอร์จะจบโปรแกรมในแต่ละวัน ด้วยการลงสระ ว่ายน้ำเบา ๆ รวมถึงเดินในน้ำ เพื่อช่วยเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย ก่อนเข้าอบซาวน่า 15 นาที ปิดท้ายด้วยการแช่ตัวในอ่างน้ำแข็งอีก 15 นาที

การ ลดน้ำหนัก ผลลัพธ์ และเป้าหมาย ของการฝึกฝนร่างกายแบบใหม่

เรียกได้ว่า ผลจากการเปลี่ยนแปลงรูทีนใหม่ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สะท้อนออกมาผ่านรูปลักษณ์ของ ฮาฟธอร์ บียอร์นส์สัน ที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ภาพพุงหลามที่เห็นในการแข่งขันจอมพลัง หรือแม้แต่ในซีรี่ส์ Game of Thrones ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป รูปร่างของฮาฟธอร์เฟิร์มขึ้น มีซิกแพ็กเห็นเด่นชัด ที่สำคัญ น้ำหนักตัวของเขาลดลงถึง 50 กิโลกรัม

จากที่สมัยเป็น จอมพลัง มีน้ำหนักอยู่ที่ 205 กิโลกรัม หรือ 450 ปอนด์ น้ำหนักในตอนนี้ เหลือเพียง 155 กิโลกรัม หรือราว 340 ปอนด์ ซึ่งเจ้าตัวเผยจากปากเองด้วยว่า ตอนนี้เขามีความสุขกับรูปร่างของเขาแบบสุด ๆ เพราะทั้งดูดีและดูสุขภาพดีอีกด้วย

หลายคนอาจสงสัยว่า ฮาฟธอร์ จะทรมานร่างกายตัวเองด้วยการลดน้ำหนักไปเพื่ออะไร คำตอบก็คือ ตัวเขามีเป้าหมาย หรืออันที่จริงอาจต้องเรียกว่า บัญชีแค้น ที่ต้องสะสาง และเป้าหมายคนที่ว่าชื่อ เอ็ดดี้ ฮอลล์

ซึ่งเป็นคู่แข่งในสนามจอมพลัง ที่ฮาฟธอร์ประฝีมือกันมานาน จนนำมาซึ่งความบาดหมาง เมื่อฮาฟธอร์กล่าวหาเอ็ดดี้ว่า โกงจนคว้าแชมป์ World’s Strongest Man ปี 2017 ขณะที่เอ็ดดี้ก็สวนกลับว่า ฮาฟธอร์เองก็โกงจนได้แชมป์ World’s Strongest Man ปี 2018 เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น การทุบสถิติโลกท่า Deadlift ของฮาฟธอร์ยังไม่โปร่งใสอีกด้วย เพราะทำในยิมส่วนตัว แม้มีการถ่ายทอดสดก็ตาม

เมื่อมีความบาดมาง ก็ถึงเวลาที่ควรจับกันมาฟาดปากให้รู้แล้วรู้รอดไป จนบังเกิดเป็นศึกดวลหมัดของ 2 จอมพลังนี้เอง อย่างไรก็ตาม ไฟต์ของทั้งคู่กลับเจออุปสรรค เมื่อเอ็ดดี้ได้รับบาดเจ็บ จนทำให้ไฟต์ที่เดิมมีกำหนดแข่งวันที่ 18 กันยายน 2021 ต้องถูกเลื่อนออกไป

ซึ่งฮาฟธอร์ไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง จิ้มเลือก เดวอน ลาร์รัตต์ นักงัดข้อมืออาชีพ และอดีตทหารในกองทัพแคนาดามาเป็นคู่ชกแทน ก่อนที่ฮาฟธอร์จะต่อยเดวอนจนหมดสภาพด้วยเวลาเพียง 2 นาทีของยกแรก จากกำหนด 6 ยกเท่านั้น

มีการคาดการณ์ว่า การเผชิญหน้ามวยของ Eddie Hall vs Hafthor Bjornsson กำหนดการต่อสู้ใหม่ของ 2 ยักษ์ จอมพลัง จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม 2022 ถึงวันนั้นคงต้องรอดูกันว่า การเปลี่ยนร่างของฮาฟธอร์ จะทำให้เขาปิดบัญชีแค้นได้หรือไม่ ?

ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : UFABET , ดูบอล123

อ่านเพิ่มเติม => ท่าซับมิชชัน