รำมวยโบราณ ที่เคยมีมาก่อนที่จะมีมวยคาดเชือกนั้นเป็นอย่างไร
รำมวยโบราณ ย้อนกลับไปเมื่ออดีตกาล ภาคอีสานในสมัยโบราณนั้น ก่อนที่จะมี มวยคาดเชือก และมวยเวที ต่าง ๆ ก็มีมวยรูปแบบหนึ่งที่มีชื่อเรียก หลายชื่อ เช่น มวยลาว บ้าง เสือลากหาง บ้าง มวยดังกล่าวนี้ เป็นที่นิยมฝึกกันตามวัด ตามหมู่บ้าน เพื่อให้มีกำลังวังชา สามารถต่อสู้ป้องกันตัวได้ และในณะเดียวกันนั้น ก็มีการคำนึงถึง ลีลาท่ารำ ให้มีความสวยงามแบบ รำท่าฟ้อน จึงมีการร่ำเรียนเวทมนต์คาถา เสกเป่าหมัดเข่า ให้มีพละกำลัง จนคู่ต่อสู้ทำอันตรายมิได้
ในปัจจุบันนี้ จังหวัดสกลนคร เป็นเพียงแหล่งเดียว ที่ยังมี มวยโบราณ ในงานเทศกาล งานบูญประเพณีต่าง ๆ เช่น เทศกาล แห่เทียน เข้าพรรษาในเทศกาลออกพรรษา ในเทศกาลงานบุญเหล่านี้ ชาวบ้านก็จะจัดขบวนแห่ ของคุ้มวัด เข้าร่วมขบวนอย่างสนุกสนาน ในเขตรอบ ๆ ตัวเมืองสกลนคร ถือกันมาแต่อดีต ว่าเมื่อถึงเทศกาลบุญ พระเวสเทศนมหาชาติแล้ว ชาวคุ้มจะจัดเป็นขบวนแห่ฟ้อนรำตามถนน ผ่านหน้าบ้านผู้คน เพื่อบอกบุญ ทำบุญร่วมกัน ถวายแด่องค์พระธาตุเชิงชุม
ขบวนแห่ของชาวคุ้ม นอกจากจะประกอบด้วยผู้คนทั้งหนุ่มสาว คนแก่เฒ่าชราแต่งกายสวยงามตามพื้นเมือง ฟ้อนรำด้วยกันไปตามถนนหนทางแล้ว ก็ยังมีนักมวยของแต่ละคุ้ม นำหน้าขบวน กลายเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น นักมวยแต่ละคน จะนุ่งกระโจงเบนหยักรั้งปล่ายชายกระเบนห้อบลงมาพองาม ด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านจึงมักเรียกนักมวยเหล่านั้นว่า “พวกเสือลากหาง”
ผู้รำมวยโบราณ นอกจากจะแต่งด้วยผ้าหยักรั้งปล่อยห้อยชายกระเบนแล้ว ตามร่างกายยังนิยมสักลายท่อนบน มักเป็นรูปสัตว์ที่แผงอก เช่น รูปครุฑ รูปงู รูปเสือ หนุมาน ตามส่วนโดนคาก็จะสักลายรูปพืชผัก เช่น ลายต้นขาว ผักกูด ตามคติความเชื่อในเรื่องสักลายนี้ มีมาแต่โบราณว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความเข้มแข็ง และเป็นที่พึงพอใจของสตรีเพศ
อาจมีคติเรื่องความคงกะพันผสมกับความสวยงามด้วย นักมวยโบราณจะมีตะกรุดรัดแขน ภายใน ตะกรุด มีเครื่องรางของขลักที่ตนนับถือ สวมมงคลที่ศีรษะในขณะที่ไหว้ครู เช่นเดียวกับมวยเวทีในปัจจุบัน และจะถอดมงคลออกเมื่อถึงเวลาที่จะร่ายรำหรือต่อสู้
ความงดงามของมวยโบราณอยู่ที่ท่าทาง การไหว้ครู ซึ่งใช้ลีลาจากอากัปกิริยาของสัตว์ เช่น เสือ ช้าง ม้า วัว ควาย มาดัดแปลงด้วยลีลาของนักมวย แล้วเคลื่อนไหวเหยาะย่างให้เข้ากับเสียงกลองเสียงแคน นักมวยบางคน ยังนำเอาท่าทางของลิงของยักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์ มาประดิษฐ์เป็นท่าทางร่ายรำอย่างสวยงาม อันเนื่องมาจากความงดงามของนักมวยโบราณ ซึ่งเป็นศิลปะผสมผสานระหว่าง นาฏศิลป์พื้นบ้านอีสานและชั้นเชิงของการต่อสู้ แบบมวยโบราณ
นายจำลอง นวลมณี ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ เป็นผู้รักและสนใจการแสดงมวยโบราณ เป็นครูสอนรำมวยโบราณ ได้ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกมวยโบราณให้กับนักเรียนประถมมัธยม และพนักงานดับเพลิงของเทศบาลเมืองสกลนคร
ประวัติความเป็นมาของมวยโบราณ ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว
มวย ถือเป็นศิลปะการต่อสู้ ป้องกันตัว เป็นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยมีการใช้อวัยวะเกือบทุกส่วนของร่างกาย ทั้งมือ เท้า เข่า ศอก รวมทั้งหัว ซึ่งมวยมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว ในสมัยก่อนนิยมฝึกหัดกันในหมู่นักรบโบราณ เป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนทุกชนชั้น แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินก็มีปรากฏในพงศาวดาร ครั้งกรุงศรีอยุธยา ขุนหลวงสรศักดิ์ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนาม พระเจ้าเสือ ทรงนิยมชมชอบมวยมาก ถึงกับปลอมพระองค์ไปชกมวยตามหัวเมืองบ่อยครั้ง อ้างอิงจากหนังสือเชิดชูเกียรติ อาจารย์จำลอง นวลมณี ครูมวยโบราณของสกลนคร ผู้ที่สืบสานศิลปะการร่ายรำมวยโบราณ
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ อาจารย์จำลอง นวลมณี ได้เล่าไว้อย่างน่าสนใจมาก คือ เมื่อปี พ.ศ.2331 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีนักมวยฝรั่งสองพี่น้อง ล่องเรือกำปั่น ท้าพนันชกมวย เดิมพันมวย มาหลายหัวเมือง และชกชนะมาทั้งสิ้น ครั้นมาถึงกรุงเทพฯ ก็มาท้าพนันชกมวยกับคนไทย พระยาพระคลัง กราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทราบ จึงรับสั่งให้รับท้าพนัน วางเดิมพันเป็นเงิน 50 ชั่ง หรือ 4,000 บาท (สมัยนั้นก็มากแล้ว) สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา จึงจัดหานักมวย ชื่อ หมื่นผลาญ ซึ่งมีความรู้ทั้งมวยต่อยและมวยปล้ำ และดำรัสให้ปลูกพลับพลาใกล้โรงละครด้านทิศตะวันตกของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประทับทอดพระเนตร ผลการชกปรากฏว่า นักมวยฝรั่งพ้ายแพ้ไป
นางศาสตร์ พรหมสาขา ณ สกลนคร ได้เขียนไว้ในหนังสือเชิดชูเกียรติ อาจารย์จำลอง นวลมณี ว่า
“ในสมัย 50 ปีมาแล้ว จะมีงานแห่ต่าง ๆ โดยเฉพาะงานประเพณีที่เรียกว่า งานบุญพระเวส ชาวสกลนคร 10 คุ้ม ก็มีการแห่กัณฑ์เทศน์ และแห่บั้งไฟไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อทอดถวายองค์พระธาตุเชิงชุม โดยมีคณะนักมวยรำมวยออกหน้า มีปี่ ฆ้อง กลองประโคม เป็นเครื่องประกอบ เมื่อขบวนไปพบกันจะไม่มีใครหลีกทางให้กัน จึงมีการต่อสู้กันขึ้น”
ดังนั้น มวยโบราณจึงเป็นการต่อสู้ด้วยมือ เท้า เข่า ศอก มีมาก่อนมวยคาดเชือก (มวยคาดเชือกใช้ผ้าดิบ หรือบางครั้งใช้เชือกพันมือ สันนิษฐานว่า มีขึ้นในสมัยอยุธยา)
พ.ศ.2472 เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดใจเกิดขึ้น เมื่อนายเจีย แขกเขมร ขอขึ้นทาบรัศมีกับ นายแพ เสียงประเสริฐ และผลการต่อสู้ในครั้งนั้น นายเจีย ถูกนายแพ ต่อยถึงแก่ความตายที่สนามมวย หลักเมือง ของพลโท พระยาเทพหัสดิน ตั้งแต่นั้นมวยคาดเชือกจึงต้องเลิกไป
การแสดงมวยโบราณ รำมวยโบราณ แห่งสกลนคร
การแสดงมวยโบราณนั้น แบ่งออกเป็น 3 ตอน ด้วยกัน คือ ขบวนแห่มวยโบราณ ท่าไหว้ครูหรือรำเดี่ยว และการต่อสู้
เป็นที่น่าสังเกตว่า มวยโบราณไม่ใช้การต่อสู้แบบเข้าคลุกวงใน ทั้งนี้เพราะจะทำให้เห็นลีลาท่าฟ้อนรำน้อยไป แต่นักมวยจะเข้าไปเล่นงานคู่ต่อสู้พร้อมกับถอยมาฟ้อนรำเป็นระยะๆ แล้วจึงบุกเข้าไปหรือเตรียมตั้งรับหรือตอบโต้คู่ต่อสู้ กล่าวได้ว่าความสนุกสนานของมวยโบราณ อยู่ที่ชั้นเชิงและกลเม็ดของนักมวยผู้ที่เจนจัด มักมีลูกเล่นกลเม็ดแพรวพรายทั้งท่ารุก ท่ารับ ซึ่งหมายถึงการฝึก หัดมาอย่างดีในท่ารุกเข้าพิชิตคู่ต่อสู้หลายแบบ นักมวยโบราณที่มีความคล่องตัวนิยมเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยเท้า ในขณะที่เสียเปรียบคู่ต่อสู้จนเสียหลัก นักมวยจะแก้ปัญหา เช่น การหลบ โดยหลบลอดได้อย่างเร็ว พร้อมใช้เท้าถีบคู่ต่อสู้ให้ล้มหรือใช้ศอกถอง แต่ก็ต้องระวังท่าจระเข้ฟาดหางจากฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ด้วย มวยโบราณจึงมิใช่มวยที่ชกกันเอาแพ้ชนะเช่นมวยในปัจจุบัน แต่หากเป็นการต่อสู้ที่เน้นศิลปะของท่ารำ จึงควรให้เรียกว่าการรำมวยโบราณ มิใช่การชกมวยต่อยมวยเช่นในปัจจุบัน
ท่าฟ้อนของมวยโบราณ อ่อนช้อยแต่เข้มแข็งทะมัดทะแมงอยู่ในการฟ้อนมวยโบราณ ท่าฟ้อนมวยโบราณนั้นทั้งหมดมี 14 ท่า
1. ท่าเสือออกจากเหล่า
2. ท่าย่างสามขุม
3. ท่ากุมภัณฑ์ถอยทัพ
4. ท่าลับหอกโมกขศักดิ์
5. ท่าตบผาบปราบมาร
6. ท่าทะยานเหยื่อเสือลากหาง
7. ท่าไก่เลียบเล้า
8. ท่าน้าวคันศร
9. ท่ากินนรเข้าถ้ำ
10. ท่าเตี้ยต่ำเสือหมอบ
11. ท่าทรพีชนพ่อ
12. ท่าล่อแก้วเมขลา
13. ท่าม้ากระทืบโรง
14. ท่าช้างโขลงทะลายป่า
ท่ารำมวยโบราณแบบที่รำเป็นขบวนแห่อีก 9 ท่า
1. ท่ากาเต้นก้อนขี้ไถ
2. ท่าหวะพราย
3. ท่าย่างสามขุม
4. ท่าน้าวเฮียวไผ่
5. ท่าไล่ลูกแตก-ตบผาบปราบมาร
6. ท่าช้างม้วนงวง
7. ท่าทวงฮัก กวักชู้
8. ท่าแหลวถลา กาตากปีก
9. ท่าเลาะเลียบตูบ
ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : UFABET , ดูอนิเมะออนไลน์
อ่านเพิ่มเติม => นักมวยที่ออกหมัดเร็วที่สุดในโลก