มูฮัมหมัด อาลี พริ้วเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง เขาคือนักมวยที่มีชื่อเสียงก้องโลก

มูฮัมหมัด อาลี คือมวยยอดเอ็นเตอร์เทนเนอร์ตัวจริง ไม่มีใครเบื่อถ้าได้ดูอาลีขึ้นชก เหตุผลก็เพราะว่า เขานั้นเป็นนักมวยต่างจากคนอื่นอย่างมาก เขาอาจไม่ใช่นักมวยที่เดินหน้าไล่หวดศัตรูแบบไม่ให้หายใจหายคอ แต่เขาเป็น มวยเชิง หรือที่ภาษามวยที่เรียกกันว่า มวยบ็อกเซอร์ แต่บ็อกเซอร์ในแบบของอาลีนั้น ต่างจากใคร เพราะในช่วงที่เขากำลังมีชื่อเสียงอย่างมาก เขาเป็นมวยประเภทดักชก โดยที่ตัวเองไม่ยอม ตั้งการ์ด

การ์ดเปรียบได้กับโล่กำบัง ที่ยิ่งหากนักมวยมีการ์ดดี ตัวนักชกคนนั้นก็จะกลายเป็นเป้า ที่ดูเล็กลงสำหรับ นักชกฝ่ายตรงข้าม และหากเมื่อกลายเป็นเป้าเล็ก ก็จะทำให้ชกโดนยากขึ้น เป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้ ส่วนนักมวยสายบ็อกเซอร์ ส่วนใหญ่จึงมีการ์ดเป็นอาวุธหลัก ปล่อยให้ศัตรูชกก่อน แล้วจึงติดการ์ด จากนั้นพวกเขาก็ชกชวน เหมือนกับขนาดโบราณใช้หอกกันแล้วฟันดาบสวนนั่นแหละ นี่คือเรื่องเบสิคของนักมวย

แต่อย่างไรตาม การดักชกของอาลี เขาจะไม่ใช้การ์ด แต่ใช้สิ่งที่เรียกว่า ฟุตเวิร์ก หรือ สเต็ปเท้า อาถืเป็นโคตรมวยสเต็ปเท้าขั้นเทพ เขาสามารถเปลี่ยนจากเร็วเป็นช้าได้ง่าย ๆ เปลี่ยนจากจังหวะชกเป็นจังหวะถอยได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ สายตาของอาลี นับว่าโคตรไวอย่างกับเหยี่ยว จนได้รับฉายา พริ้วเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง ถ้าหมัดของฝ่ายตรงข้าม ไม่เร็วไม่คม ก็ยากที่จะเอาชนะ อาลี ได้ ดังนั้นอาลีจึงอาศัยความเทพนี้ โยกหลอกคู่ ให้ชกไม่โดนเขา หรือหาเป้าไม่เจอ จนกลายเป็นความสนุกสนานแก่คนดู ประกอบกับสไตล์การแทรชทอล์ก ที่มักจะทำให้ฝ่ายตรงข้าม หัวเสียยิ่งขึ้น เขาเป็นคนช่างพูดช่างเปรียบเทียบ จึงทำให้คู่แข่งเสียสติ ไล่ชกอาชีพจนเหนื่อยหมดแรงไปเอง แล้วก็ยังชกไม่โดนอีกด้วย

 

ยิ่งใหญ่ หรือ ทรมาน? ทั้งหมดนี่คือ สิ่งที่ทำให้อาลีกลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวต

หลายคนอาจจำเข็มขัดแชมป์ของอาลีไม่ได้ แต่เชื่อเลยว่าหากใครได้ดูอาลีชก ทุกคนจะสามารถจดจำสไตล์การชกของเขาได้ทันที และจะไม่มีวันลืมเลยทีเดียว นั่นก็เพราะ เขาคือนักมวยที่ชกได้สนุก เท่าที่โลกเคยมี

แต่ทว่า เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า ร่างกายของคนเรา ย่อมไม่เที่ยง กรรมใดเคยทำ กรรมนั้นเริ่มผลิดอกผล การชกแบบไม่ตั้งการ์ด และเปิดหน้า ยั่วคู่ชกให้ต่อย ที่ว่าโคตรเทพกันนี่เอง ที่ทำให้อาลี ต้องเจอกับโรคร้าย ที่เขาไม่อาจได้เตรียมการมาก่อน นั่นคือ โรคพาร์คินสัน โรคที่อยู่กับเขามานาน กว่าเข็มขัดแชมป์โลกที่ทุกคนชื่นชม

มันส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อ โรคร้ายพาร์คินสันนี่เอง เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของสมอง สาเหตุของโรค เกิดจากเซลล์สมองตาย ผู้ป่วยโรคนี้ จึงมีปัญหาเรื่องการเคลื่อนไหว ที่มีความผิดปกติ และส่วนใหญ่ กว่าจะรู้ตัว ก็เมื่อผู้ป่วยมีอายุราว 65 ปีเข้าไปแล้ว

 

มูฮัมหมัด อาลี

 

ไม่ว่าจะหลบเก่งแค่ไหน ก็ต้องมีวันพลาด อาลีเองก็เช่นกัน ฟุตเวิร์กและสายตาดีแค่ไหน แต่ก็มีไม่น้อยที่เขาโดนชกหน้าเต็ม ๆ หน้า แต่ภาพของเขาลงไปนอนนับ 10 นั้นหาได้ยาก เนื่องจากเขาเป็นคนที่เก็บอาการเก่ง จนหลายคนแทบไม่รู้สึกว่าเขาเจ็บปวด

ในปี 1974 อาลีขึ้นชกกับ จอร์จ โฟร์แมน ที่กรุงคินซาช่า ประเทศซาอีร์ (ดีอาร์ คองโก ในปัจจุบัน) ไฟต์ที่ได้ชื่อว่า “The Rumble in the Jungle” นี้ชัดที่สุดแล้ว เพราะอาลีโดนหมัดของโฟร์แมนกระแทกหน้าแบบจัง ๆ ไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แต่เขาก็ไม่ล้มลงกับพื้น กลับกลายเป็นอาลี ที่ทนหมัดจนพลิกกลับมาน็อคโฟร์แมนได้สำเร็จ ซึ่งหลังจากไฟต์นั้นจบ โฟร์แมนก็เคยให้สัมภาษณ์ถึงความตื่นตะลึงครั้งนั้นว่า

 

“ผมต่อยเขาเข้าที่กรามแบบจัง ๆ แล้วแท้ ๆ มันเป็นหมัดที่สมบูรณ์แบบ แต่คุณรู้ไหม เขาพูดอะไรหลังจากนั้น … ‘แกได้แค่นี้เองเหรอจอร์จ ?'” โฟร์แมน เล่าเรื่องนี้ในภายหลัง

ไม่แพ้ แต่ส่งผลมาถึงอนาคต ต้องพูดแบบนั้นจึงจะถูกที่สุด อาลีกินหมัดมาตลอดชีวิต เขาอาจจะไม่แสดงออก และไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเจ็บปวดอะไร และไม่คิดว่ามันจะอันตรายด้วย

ทว่ามีการสำรวจย้อนกลับไปในอดีต และลงเป็นบทความใน The Wall Street Journal ภายใต้ชื่อบทความว่า “การศึกษาพบว่า พาร์คินสันเล่นงานอาลีตั้งแต่ที่เขายังชกมวยอยู่ด้วยซ้ำ แต่พวกมันค่อย ๆ ส่งผลแบบเงียบ ๆ โดยที่เขาไม่รู้ตัว”

การโดนชกในไฟต์ละหมัดสองหมัด ตั้งแต่เป็นนักมวยอาชีพตอนอายุ 19 ปี นั้น สั่งสมความเจ็บปวดมา ทีละนิด ทีละนิดภายในร่างกายของอาลี การโดนชกที่หน้าหรือหัวนั้นถือเป็นการสร้างความเสียหายมายังสมองโดยตรง และอาลีไม่เคยรู้ว่า ยิ่งเขาชกมากไฟต์ขึ้นเท่าไหร่ พาร์คินสันก็เริ่มหาทางแสดงตัวตนออกมาเท่านั้น

อาลีเคยเป็นคนที่พูดเก่ง เมื่อไมโครโฟนอยู่กับปาก เขาจ้อได้ไม่มีหยุดและถูกใจทุกคนเสมอ แต่งานวิจัยเล่าว่าในช่วงที่อาลีอายุ 30 ปี เขามีอาการพูดช้าลงโดยที่เขาและคนรอบข้างไม่ทันสังเกต สาเหตุที่งานวิจัยเริ่มจับถึงการพูดของอาลี ก็เพราะการพูดคือสัญญาณบ่งชี้แรก ๆ เกี่ยวกับความเสียหายของโรคระบบทางประสาท

 

มูฮัมหมัด อาลี

ในปี 1968 อาลีในช่วงวัยหนุ่ม เขาเคยพูดได้ 4.1 พยางค์ต่อวินาที ซึ่งนั่นอาจจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่ตัวเลขที่อันตราย ทว่าจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เขาเริ่มมีชื่อเสียง และมีแมตช์ชกมากขึ้น เป็นเงาตามตัว อีก 3 ปีให้หลัง ในปี 1971 อาลี พูดได้เพียง 3.8 พยางค์ต่อวินาทีเท่านั้น

หากถามว่ามันผิดปกติขนาดไหน ? เอาเป็นว่าในผู้ใหญ่ระหว่างช่วงอายุ 25-40 ปีโดยทั่วไป ค่าเฉลี่ยความเร็วในการพูดในช่วงวัยนี้จะไม่ลดลงเลย หรือลดลงน้อยมาก แต่อาลีกลับพูดได้ช้าลงกว่าคนในช่วงวัยเดียวกัน ถึง 26%

จึงหมายความว่า โรคพาร์คินสัน กำลังกัดกินอาลี โดยที่เขาไม่รู้ตัว และไม่มีใครทันสังเกต อาจเป็นตัวเขาเองที่มุทะลุ กระหายความยิ่งใหญ่ หรืออาจเพราะวิทยาการทางแพทย์ในสมัยนั้น ที่ยังไม่สามารถเจาะลึกได้เหมือนปัจจุบัน อาลีจึงเอาหน้ารับแรงกระแทก เพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน จากการซ้อม และการขึ้นชกจริง มันทำให้เขาเริ่มมีปฎิกิริยาการหลบหลีก ที่ช้าลง และเขาเองก็เพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนนั้นเสียด้วย

เขายังคงเดินหน้าทำกิจวัตรเดิม ซึ่งหลังจากแขวนนวมไปได้ ไม่กี่ปี อาลีเริ่มรู้ตัวเองว่าเขามีอาการตัวสั่น ชอบร้องผวาขณะนอนหลับ หลังของเขาเริ่มค่อม ตัวของเขาเริ่มงุ้มลง และแล้วความจริงก็ปรากฏในปี 1984 มูฮัมหมัด อาลี ชายผู้ยิ่งใหญ่ ยอดนักชกประวัติศาสตร์ และ “แบล็คซูเปอร์แมน” ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์คินสัน โรคที่ว่ากันว่าทำได้แค่ประคับประคองอาการ แต่ไม่สามารถหายขาดได้ เมื่อนั้นเขาจึงรู้ว่าคู่ชกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขาได้มายืนอยู่ต่อหน้า

มูฮัมหมัด อาลี

การไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ กว่าจะรู้ตัวก็ช้าเกินไปเสียแล้ว

ยิ่งเขาตรวจเจอว่าตัวเองเป็นโรคพาร์คินสัน อาลีก็ต้องเริ่มสู้อีกครั้ง แม้จะเกษียณตัวเองออกจากการเป็นนักมวยแล้วก็ตาม เขาเดินหน้าพบหมอเก่ง ๆ ทั่วโลก และแพทย์หลายคนเชื่อว่าอาการของอาลีรักษายากมาก เนื่องจากเขาเคยผ่านหมัดมาเป็นพัน ๆ ครั้งตลอดชีวิตการทำงาน

โรคร้ายเกาะกินเขาหนักขึ้นทุกวัน จากคนที่พูดเร็ว พูดเก่ง และคล่องตัว กลายเป็นคนที่พูดช้า สายตาเลือนราง หลังของเขาโค้งงอ ปากของเขาเบี้ยวผิดรูป วันหนึ่งที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าสื่อ โลกทั้งใบไม่อยากจะเชื่อว่าชายที่เคยเก่งที่สุดในโลกจะมาอยู่ในสภาพนี้

แพทย์ที่รักษาอาการของเขาที่ชื่อว่า ดร.ซามูเอล โกลด์แมน ยอมรับโดยตรงว่าอาการของอาลีนั้นไม่มีทางรักษาได้เลย สิ่งหนึ่งที่ ดร.โกลด์แมน ว่าถึงอาการของอาลีคือ สมองของเขาสะสมแรงกระทบกระเทือนมามากจนเกินไป มีอาการบาดเจ็บที่หัวซ้ำ ๆ จนทำให้สมองเสื่อมโทรม และเซลล์ภายในตายไปเยอะเกินกว่าจะกู้คืนได้

การเป็นโรคพาร์คินสันของ มูฮัมหมัด อาลี สร้างแรงกระเพื่อมในสังคมขึ้นมาทันที คนอเมริกันหลายคนเพิ่งรู้ความอันตรายของโรค ๆ นี้ ขณะที่วงการมวยโดยเฉพาะมวยสากลสมัครเล่น ก็มีการปรับกฎให้ใส่เฮดการ์ดขึ้นชกเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนที่สมอง

ทุกคนต่างพูดเป็นคำเดียวกันว่า อาลี ไม่ควรจะมาชกมวยเลย บ้างก็บอกว่าจะมีประโยชน์อะไร หากความยิ่งใหญ่ที่เคยสร้างมา กลับลงเอยด้วยการต่อสู้กับโรคร้ายอย่างทรมาน ความหมายก็คือ ถ้าอาลีแลกความสำเร็จตลอดอาชีพกับการไร้โรคภัยได้ เขาก็ควรทำ เพราะชื่อเสียงไม่ได้มีค่ามากกว่าร่างกายที่แข็งแรง

ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : UFABET , ดูบอล123

อ่านเพิ่มเติม => ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์