บัตเตอร์บีน

บัตเตอร์บีน นักมวยอ้วนสุดโหด น้ำหนักเกือบ 200 กิโลแต่ต่อยโหดเกินเบอร์

นี่คือเรื่องราวของ นักชกชาวอเมริกัน ผู้ที่สวมกางเกงลายธงชาติอเมริกัน และเขาเป็นคนที่ชอบกินมาก จึงมีรูปร่างอ้วน เขาคือ อีริก เอสช์ (Eric Esch) นักมวยอาชีพ ผู้มีฉายา ” บัตเตอร์บีน ” แชมป์รุ่นเฮฟวีเวท ที่เคยถูกเชียร์ให้วัดพลังหมัดกับ ไมค์ ไทสัน

ด้วยความที่เขาเป็นหนักมวยแปลกแตกต่าง จากนักมวยปกติทั่วไป ที่จะมีรูปร่างมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมัน เขาจึงกลายเป็นมวยโชว์เงินล้าน ที่ใคร ๆ ก็อยากเห็นเขาชก ด้วยคำถามที่อยากรู้ว่าเขาแบกน้ำหนักมาขนาดนี้ จะสู้กับนักมวยที่หุ่นฟิตปั๋งได้อย่างไร คำตอบนั้นหลายคนคงต้องไปเห็นกับตาตัวเองบ้างสักครั้ง

อย่างที่ทราบกันดีกว่า กีฬามวยนั้น คือการวัดกันด้วยหมัดและสติปัญญา และใช้ร่างกายเข้าต่อสู้ ผู้เข้าแข่งขันล้วนต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อม ที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู จะต้องมีความว่องไว มีความแข็งแรงมากพอที่จะยืนนานได้ถึง 12 ยก โดยไม่น็อคไปก่อน และยังต้องชกเพื่อทำคะแนนเอาชนะไปด้วย ถึงจะกลายเป็นแชมป์โลกได้ ซึ่งเป็นอาชีพที่ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้ เพราะมันต้องแลกมาด้วยความขยันอดทน จากการฝึกฝนทักษะ และการเตรียมร่างกายให้ฟิตอยู่เสมอ

ซึ่ง อีริก เอสช์ หรือ ยอดมวยยักษ์คนนี้ เขาก็ทำทุกอย่างเหมือนกับนักมวยทุกคน เขาฝึกฝนการชกและลดน้ำหนักเหมือนกัน แม้ว่าเขาจะเป็นที่ชอบกินมากก็ตาม แต่ก็ยังสามารถกลายเป็นแชมป์โลกได้

วันนี้ทาง ultimateufa ขอพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับชายผู้นี้กัน ว่าเขามีความเป็นมาอย่างไร ประวัติพื้นเพเบื้องหลัง และอะไรทำให้ชีวิตของเขา ก้าวเดินมาในเส้นทางของนักมวยมืออาชีพได้

จุดกำเนิดของ บัตเตอร์บีน (Butterbean) ยอดมวยยักษ์ เด็กอ้วนในอดีต

ย้อนกลับไปเมื่อเข้ายังเป็นเด็ก เอริค เอสช์ เป็นเด็กที่สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก โดยแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่ เขาอายุได้ 8 ขวบ จึงต้องย้ายเมือง ย้ายโรงเรียนเป็นประจำ และสิ่งที่สำคัญเลยคือเขามีปม เป็นเด็กอ้วนที่มักจะโดนเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนกลั่นแกล้งเป็นประจำ ซึ่งนั่นทำให้เขาฝันว่า อยากจะเติบโตมาเป็นคนที่แข็งแกร่ง เพื่อตอกกลับทุกการกระทำที่ตัวเขาเจอ ในช่วงชีวิตวัยเด็กนั่นเอง

ทว่าในความเป็นจริง คนเราจะอยู่และใช้ชีวิตไปกับการแก้แค้น โดยไม่ทำมาหากิน หรือประกอบอาชีพอะไรเลย ก็คงเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่า อีริก เอสช์ จะพยายามฝึกฝนเรื่องการชกมวยเบื้องต้นอยู่ แต่เขาก็ยังประกอบอาชีพทำงาน เลี้ยงปากท้องตัวเอง ด้วยการเป็นหนุ่มโรงงานประกอบเครื่องจักร

แต่ด้วยนิสัยที่ชอบกิน ทำให้เขามีน้ำหนักตัว พุ่งทะลุเกิน 200 กิโลกรัม และจนกระทั่งจุดเปลี่ยนก็มาถึง เมื่อปี 1990 เขาถูกเพื่อนร่วมงาน ๆ เชียร์ให้ไปสมัครชิงแชมป์ศึก Toughman Contest อันเป็นรายการแข่งขันมวยสากลของนักกีฬาสมัครเล่น

แน่นอนว่า อีริก เอสช์ พยายามที่จะลงสมัครในรุ่นใหญ่ที่สุด นั่นก็คือ รุ่นซูเปอร์เฮวีเวท ในรายการนั้น ทว่าข้อบังคับในการแข่งขันมีบอกไว้ว่า ผู้เข้าแข่งขันจะต้องมีน้ำหนักน้อยกว่า 400 ปอนด์ หรือ 180 กิโลกรัม ถึงจะสามารถลงแข่งขันได้ ด้วยเหตุนี้ อีริก เอสช์ จึงกลับไปซ้อมมวยอย่างหนัก และลดน้ำหนักไปพร้อม ๆ กัน

ช่วงที่ อีริก เริ่มไดเอ็ท เหล่าเพื่อนฝูงต่างรู้สึกแปลกใจมาก ที่เขาจริงจังมากกับการลดน้ำหนัก ถึงกับขนาดที่ว่า เมนูหลักของเขาคือ ไก่และถั่วขาว (Butterbean) และเป็นที่น่าประหลาดใจมากตรงที่เขาสามารถปฏิบัติตามโปรแกรมลดน้ำหนักได้อย่างเข้มงวด จนน้ำนักลดลงมาถึง 400 ปอนด์ โดยการกินแต่ไก่กับไถั่วขาวเป็นหลักจึงกลายเป็นที่มาของฉายา ที่เพื่อนๆเรียกว่า บัตเตอร์บีนและเขาก็ใช้ชื่อนี้ในการแข่งขันนับตั้งแต่นั้นมา

รายการ Toughman Contest ถือเป็นการค้นพบความสามารถของตัวเอง เพราะเมื่อเขาได้ฝึกร่างกายแบบจริงจัง ก็ค้นพบว่าตัวเขานั้นเป็นคนที่มีพลังหมัดหนักเกินคาด สามารถคว่ำคู่แข่งได้ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีหลังจากระฆังดัง ด้วยพลังหมัดล้มช้างของเขา ก็ทำให้สามารถคว้าแชมป์ได้สำเร็จ แถมยังสามารถคว้าแชมป์ในรายการเดิมมาได้ถึง 5 สมัยด้วยกัน ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเทิร์นโปร กลายเป็นนักกีฬามวยมืออาชีพในอีก 4 ปีต่อมา แม้ว่าจะไม่ได้ผ่านโอลิมปิกเหมือนใครเลย

King of the 4 Rounders

บัตเตอร์บีนตัดสินใจ เทิร์นโปร ในปี 1994 เขาทำให้คนทั้งโลกสงสัยว่า นักมวยรูปร่างอ้วนอย่างเขา จะไปได้ไกลถึงไหนกันแน่ในวงการนี้ ความจริง อีริก ไม่ได้เซอร์ไพร์สใครมากมายในเรื่องของความเร็วและทักษะอื่น ๆ เมื่อเทียบกับนักมวยรุ่นยักษ์คนอื่น ๆ ในยุคนั้น

เพราะเขาเริ่มต้นอาชีพนี้ช้า อีกทั้งมีน้ำหนักตัวมาก ทำให้ไม่คล่องแคล่วว่องไว แถมข้อดีของการเป็นมวยรุ่นเฮฟวีเวตคือสามารถปล่อยน้ำหนักได้ตามสบาย แต่เรื่องของพลังหมัดของเขา ที่เป็นผลมาจากการทำงานหนักมาตลอด จึงกลายเป็นไพ่เด็ด ที่ทำให้หลายคนชักเกิดความยอมรับขึ้นมาในใจ

อีกทั้งความแปลก ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในวงการมวย คาแร็คเตอร์ของนักมวยอ้วน ไม่เคยมีปรากฎใน ประวัติวงการมวยโลก แถมภาพลักษณ์และชื่อเสียงของ ตัวอีริกเอง ก็ไปได้เร็วว่าที่ตัวเขาเองนึกภาพไว้เสียอีก สไตล์การชกของ บัตเตอร์บีนนั้น ไม่มีอะไรมาก เมื่อเสียงระฆังยกแรกดังขึ้น เขาจะรีบเดินเข้าหาคู่ชกทันที และเริ่มปล่อยมัดแบบรัว ๆ นชิดที่ว่า ทีใครทีมัน ใครร่วงก่อนก็แพ้ไปเลย

ดังนั้นเขาถึงกลายเป็นนักมวยที่ขึ้นชื่อ เรื่องการน็อคเอาท์มากที่สุดคนหนึ่ง เพราะเขามักจะน็อคผู้ชกได้ไม่เกินยกที่ 4 แถมส่วนใหญ่ยังจบลงในยกที่ 1 และ 2 อีกด้วย เหตุผลก็ไม่อะไรมาก เพราะปัญหาน้ำหนักตัว ที่ทำให้เขาต้องใช้พลังงานในการขยับ เคลื่อนไหวกว่าหนักมวยคนอื่น ๆ เพราะไม่งั้นถ้าปล่อยให้เกมยื้อยาวออกไป จะกลายเป็นแพ้ภัยตัวเองที่หายใจไม่ทัน

ด้วยเหตุนี้การชกในแต่ละครั้งของ อีริก เอสช์ ส่วนใหญ่จะเป็นไฟต์พิเศษ โชว์พิเศษ ที่มีข้อตกลงกันว่าจะชกกันแค่ 4 ยกเท่านั้น ไม่มากเกินไปกว่านี้ เมื่อมีกรอบของเวลาเข้ามา บัตเตอร์บีนจึงใช้ความพิเศษตรงนี้ เป็นความได้เปรียบเข้ามาช่วยในเรื่องของพลังหมัดได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องกั๊กอะไรกันมาก เดินชนกันให้รู้ ๆ ไปเลย

เพราะกรอบองเวลา 8-12 นาที ถือว่าเป็นเวลาที่สภาพร่างกายของเขารับพอรับไหว ในสถิติจะบอกไว้แบบนั้นเพราะส่วนใหญ่เขาจะน็อคคู่ชกได้ตลอด ในช่วง 2 ปีแรก สามารถเอาชนะ 15 ไฟต์รวด และได้ฉายา ราชามวย 4 ยก เลยทีเดียว

ค่าตัวแพง แต่ก็ไม่มีใครอยากชกด้วยเพราะว่าความหมัดหนัก

อีริก เอสช์ เคยเป็นนักมวย 4 ยกที่มีค่าตัวแพงที่สุดจนถึงปัจจุบัน เขาเคยได้แชมป์โลกรุ่นซูเปอร์เฮฟวีเวตของ IBA และ WBF ที่อังกฤษ นับว่าเขานั่นเป็นนักมวยรูปร่างอ้วนที่มีความเจ๋งพอตัว ถึงแม้ว่าสถาบันมวยที่เขาคว้าแชมป์มา จะไม่มีชื่อดังอะไรมากมาย

แน่นอนว่า ความที่เป็นนักมวยอ้วน และยังมีหมัดหนัก ทำให้ไฟต์แต่ละไฟต์ของ อีริก ได้ออกทีวีอยู่บ่อย ๆ เพราะถ้าใครเป็นคอมวยในยุคนั้น จะเห็นว่าคู่ชกของเขา มักจะเป็นมวยรองคู่เอก ในการชิงแชมป์โลกเป็นประจำ ซึ่งก็ทำให้เขาไม่พอใจมาก ๆ เพราะเขาเชื่อว่าตัวเขาเอง มีศักยภาพมากพอที่จะเป็นมวยคู่เอกกับคนอื่น ๆ เหมือนกัน

มวยโชว์อย่าง อีริก เอสช์ มีความมั่นใจสูงมาก เขาอยากจะชกกับมวยแม่เหล็กให้ได้ ทว่าอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ อาจจะเพราะรูปร่างของเขา แม้ว่าสถิติการชก และตัวเลขของการน็อคเอาต์ รวมถึงกระแสคนดูที่สนใจต่อเขาจะมีมากมาย แต่กลับไม่มีใครสนใจอยากขึ้นเวทีกับเขาเลย ซึ่งเขาเคยท้าชกกับ ไมค์ ไทสัน มาแล้ว แต่ ไทสัน ส่ายหน้าแล้วบอกว่าไฟต์กับบัตเตอร์บีนจะไม่เกิดขึ้น เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการเสียเวลาครั้งนี้

ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : มังงะ

อ่านเพิ่มเติม => การรีดน้ำหนัก