ตำนาน5นักมวยไทย ที่ใครต่อใครต้องรู้จักและไม่มีวันลืม

ตำนาน5นักมวยไทย เนื่องในวันที่ 6 ก.พ. 2563 เป็น วันมวยไทย ซึ่งจะตรงกับวันที่ 6 ก.พ. ของทุกปี วันนี้เราจึงต้องการพาทุกคนไปย้อนตำนาน 5 นักมวยไทย ที่ได้สร้างชื่อให้กับประเทศพวกเรา ทั้งที่ยังไม่ตายนักชกขวัญใจแฟนมวยแล้วก็ชาวไทยผู้คนจำนวนมาก

ตำนาน5นักมวยไทย

1.โผน กิ่งเพชร

เริ่มกันที่นักชกชื่อดังที่เป็นถึงแชมป์โลกคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ นั่นเป็น โผน กิ่งเพชร โดยการชิงแชมป์โลกช่วงวันที่ 16 ม.ย. พุทธศักราช 2503ในสนามมวยลุมพินี ได้กระทำต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งคู่ท่านเดินทางไปไปทอดพระเนตร ดูบอล123

โผน กิ่งเพชร โผนเป็นแชมป์โลกคนไทยคนแรกในรุ่นฟลายเวต ของสถาบันเดอะริง (The Ring) และเป็นแชมป์โลกชาวไทยคนแรกที่ได้ครองแชมป์โลกถึง 3 ยุค แต่ว่าด้วยปัญหาส่วนตัว ทำให้โผนติดสุราจนถึงการชกตกอับลง จนกระทั่งเสียแชมป์และไม่ได้โอกาสชิงชนะเลิศคืนได้อีก โผนเสียชีวิตลงในวันที่ 31 พ.ค. พุทธศักราช 2525 ในวัย 47 ปี

แล้วมีการสร้างอนุสรณ์สถานของเขาที่หัวหินบ้านเกิด ภายหลังที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว 10 ปี โผนนับได้ว่าเป็นตำนานของแวดวงมวยสากลคนหนึ่งของไทย โดยวันที่ 16 เดือนเมษายน ซึ่งเป็นวันที่โผนชิงแชมป์โลก ได้ถูกกำหนดให้เป็น “วันนักกีฬาไทย” นักมวยแก่แต่เก๋า

2.เขาทราย แกแล็คซี่

ถ้าหากเอ่ยถึงชื่อนี้หลายท่านอาจรู้จักหรือบางทีอาจจะเคยรับรู้กันมา แม้ว่าจะไม่ใช่แฟนมวย เนื่องจากว่า เขาทราย แกแล็คซี่ พูดได้ว่าเป็นนักมวยมีชื่อยอดนิยมเป็นอย่างมาก ยุคที่ยังต่อยอยู่เขาได้รับสมญานามว่า “ซ้ายทะลวงไส้” จากหมัดซ้ายที่เอาจริงเอาจัง และก็การต่อยลำตัวที่สุดยอด เขาทรายจะได้รับชัยชนะอย่างงดงามเกือบทุกครั้งของการต่อย ความนิยมชมชอบในตัวเขาทรายมีถึงขนาดที่ว่า เมื่อใดที่เขาทรายต่อย ถนนหนทางในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จะว่าง เพราะว่าทุกคนรีบกลับไปอยู่ที่บ้านไปดูเขาทราย

เขาทราย แกแล็คซี่ เป็นอดีตนักมวยแชมเปี้ยนโลกคนไทย รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต (115 ปอนด์) ของ สโมสรมวยโลก (WBA) เป็นแชมป์โลกคนที่ 9 ของไทย มีพี่ชายฝาแฝดเป็น เขาค้อ แกแล็คซี่ ซึ่งเป็นอดีตแชมป์โลก รุ่นแบนตัมเวต WBA โดยมีช่วงเวลาที่เป็นแชมป์โลกคู่กัน ทำให้เป็นแชมป์โลกแฝดรายแรกของโลกอีกด้วย

หลังครอบครองตำแหน่งแชมป์โลก เขาทรายสามารถป้องกันตำแหน่งได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกัน แล้วก็เขาได้ประกาศวางมือในฐานะ “แชมป์โลกผู้ไม่เคยแพ้ใคร” ตลอดระยะเวลาที่ครอบครองตำแหน่ง 7 ปี ในปี พุทธศักราช 2542 เขาทรายได้รับรางวัลยกย่องเกียรติยศ “World Boxing Hall of Fame”ในเมืองคานาสโตต้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา นอกจากนั้น เขายังได้รับรางวัลฯลฯ จนถึงอาจเรียกว่าเป็นนักกีฬาชาวไทยที่ได้รับเกียรติยศมากที่สุดก็ว่าได้

ภายหลังรามือ เขาทรายได้ออกอัลบั้มเพลงมาชุดหนึ่ง เพื่อเป็นการขอบคุณแฟนคลับที่ให้การช่วยเหลือ ปัจจุบันนี้เขามีธุรกิจขายหลายอย่าง และก็รับงานแสดงในแวดวงบันเทิงเป็นครั้งเป็นคราว ส่วนในแวดวงมวย มีเป็นผู้ฝึกสอนให้กับนักมวยอยู่บ้าง

3.สามารถ พยัคฆ์อรุณ

สามารถ พยัคฆ์อรุณ แชมป์โลกคนที่ 10 ของไทย สมัยก่อนนักมวยชายหนุ่มหน้าตาดี ผู้มีเสียงเหน่อเป็นเอกลักษณ์ ผู้ครอบครองสมญานาม “พยัคฆ์หน้าหยก” สามารถชกมวยไทยครั้งแรกที่ จังหวัดชลบุรี ตอนวันที่ 24 ธ.ค. พุทธศักราช 2517 แล้วก็ตระเวนชกมวยฝึกฝนฝีมือมาเรื่อยๆนับว่าเป็นนักมวยเชิงชั้นพราวแพรว สายตาดี ต่อยได้สนุก ชนะใจผู้ชม แล้วก็ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งสำหรับเพื่อการชกมวยไทย

โดยได้แชมป์ของเวทีเวทีลุมพินีถึง 4 รุ่นร่วมกัน เช่น รุ่นพินเวต (105 ปอนด์) รุ่นจูเนียร์ฟลายเวต (108 ปอนด์) รุ่นจูเนียร์แบนตัมเวต (115 ปอนด์) และก็รุ่นเฟเธอร์เวต (126 ปอนด์)

ถัดมา เขาเริ่มหันมาชกมวยสากลอาชีพ ชิงแชมป์โลกครั้งแรกในรุ่นซูเปอร์แบนตัมเวต (122 ปอนด์) ของสภามวยโลก (WBC) โดยการเอาชนะน็อกแชมป์โลกไปได้ในยกที่ 5 เปลี่ยนเป็นแชมป์โลกคนที่ 10 ของไทย จากนั้น เขาก็ได้รับการเล่าขานถึงมากมายก่ายกอง ด้วยเหตุว่าสามารถพิงเชือกโยกหลบหมัดของผู้ท้าแข่งได้ด้วยสายตาอันว่องนับสิบๆหมัด แล้วก็ต่อยสวนหมัดตรงเข้าปลายคางไปเพียงแค่หมัดเดียว ก็เอาชนะน็อกผู้ท้าแข่งไปได้อย่างน่าประทับใจ ภายหลังวางมือ สามารถได้ออกอัลบั้มเพลง ปัจจุบันเขายังรับงานในแวดวงบันเทิงเป็นช่วงๆ

4.สด จิตรลดา

ในสมัยที่กีฬาชกมวยสากลอาชีพเป็นที่นิยมเต็มที่ ประเทศไทยมีแชมป์โลกพร้อมถึง 3 คนหมายถึงเขาทราย แกแล็คซี่, สามารถ พยัคฆ์อรุณ รวมทั้งอีกผู้ที่มั่นใจว่าชาวไทยไม่เคยลืมเขา ซึ่งก็ คือ สด จิตรลดา แชมป์โลกคนไทยคนที่ 8 รุ่นฟลายเวต (112 ปอนด์) ของสภามวยโลก (WBC) รวมทั้งแชมป์เดอะริง มีสถิติการต่อยทั้งสิ้น 29 ครั้ง ชนะ 23 ครั้ง แพ้ 4 ครั้ง เสมอ 1 ครั้ง (ชนะน็อก 14 ครั้ง)

ภาพจำของคนอีกหลายๆคนเมื่อกล่าวถึง “สด จิตรลดา” ก็คือ เป็นมวยต่อยสนุก มีลีลาท่าทางฟุตเวิร์กสวยงาม หมัดแย้บคม กล้าแลกเปลี่ยนกล้าชน ถึงแม้หมัดจะไม่หนักก็ตาม แต่ว่าก็นับว่าชนะใจผู้ชม ระหว่างเป็นแชมป์โลก สดได้เดินทางไปต่างประเทศต่อยป้องกันตำแหน่งบ่อยมาก ดังเช่น อังกฤษ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ จาไมก้า แล้วก็กลางทะเลทรายในประเทศประเทศคูเวต แทบทุกครั้งลงเอยด้วยความสวยสดงดงาม

ภายหลังจากป้องกันตำแหน่งได้ 6 ครั้ง ก็เลยได้วางมือ ด้วยสภาพร่างกายแล้วก็ปัญหาเรื่องสายตาที่มีมากขึ้น ทำให้สดแพ้น็อกบ่อยมาก สดจึงได้ศึกษาต่อจนจบปริญญาตรี นับเป็นนักมวยเพียงแค่ไม่กี่คนที่สำเร็จการศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา จากนั้นเขาได้ดำเนินการในสายอาชีพที่หลากหลาย รวมถึงเคยเดินทางไปสอนมวยไทยที่อเมริกาและก็แคนาดาเป็นระยะเวลา 3 – 4 ปี เดี๋ยวนี้ได้กลับมาเปิดค่ายฝึกซ้อมมวยไทยย่านนนทบุรี เพื่อสอนมวยให้เด็กรวมทั้งเยาวชน ตลอดจนผู้สนใจในศิลป์มวยไทย

5.สมรักษ์ คำสิงห์

คนสุดท้ายจะไม่เอ่ยถึงมิได้เลยก็คือ “สมรักษ์ คำสิงห์” สมัยก่อนนักต่อยยิ้มแย้มแจ่มใส ครึกครื้นตลกขบขัน แล้วก็มีวลีเด็ดเป็น “ไม่ได้โม้” จนได้รับสมญานามว่า “โม้อมตะ” เขาเป็นนักกีฬากลุ่มชาติไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการแข่งขันชิงชัยมวยสากลสมัครเล่น ในกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 26 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี พุทธศักราช 2539 แล้วก็ได้โอกาสได้เข้าเฝ้า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญทองโอลิมปิก

สมรักษ์ เข้าสู่ทีมชาติครั้งแรกสำหรับเพื่อการชิงชัยโอลิมปิก ที่บาร์เซโลนา ในปี พุทธศักราช 2535 แต่ว่าไม่เข้ารอบแรก ถัดมา พุทธศักราช 2536 ได้เหรียญทองมวยทหารโลกที่ประเทศอิตาลี แต่ว่าไม่ได้ติดกลุ่มชาติไปแข่งกีฬาซีเกมส์ในปีนั้นด้วยเหตุว่าไม่พร้อม จนถึงในปีต่อมา (พุทธศักราช 2537) เขาเริ่มเป็นที่รู้จักขึ้นมาเป็นครั้งแรก จากการเป็นนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญทองเพียงคนเดียว สำหรับเพื่อการแข่งขันเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่เมืองฮิโรชิมา ญี่ปุ่น แล้วก็โด่งดังถึงที่สุดในปี พุทธศักราช 2539 เมื่อคว้าเหรียญทองจากโอลิมปิกมาได้ ซึ่งนับว่าเป็นความภาคภูมิของคนไทยทุกคน

หลังจากได้เหรียญทองโอลิมปิก สมรักษ์ ก็เปลี่ยนเป็นซูเปอร์สตาร์ เขาได้รับรางวัลและก็การยกย่องเกียรติจากหลายสถาบัน สมรักษ์ยังได้เลื่อนตำแหน่งจาก จ่าเอก เป็น เรือตรี และก็ด้วยบุคคลิกตลกขบขัน มีชีวิตชีวา น่าดึงดูด งานในแวดวงบันเทิงก็เลยติดต่อเข้ามาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย และก็ความสามารถการต่อยก็ลดประสิทธิภาพลงเรื่อยๆพ่ายแพ้ในสนามการแข่งขันหลายที จนถึงเขาเลิกชกมวยสากลสมัครเล่นอย่างเด็ดขาด ในปี พุทธศักราช 2547 ต่อจากนั้น นอกเหนือจากงานในแวดวงบันเทิงแล้ว เขาก็รับงานเป็นผู้บรรยายการแข่งขันมวย และก็มีขึ้นชกมวยในงานเฉพาะกิจอยู่บ้าง เดี๋ยวนี้ สมรักษ์ยังคงมีงานในแวดวงบันเทิงอยู่เรื่อยๆแล้วก็ทำธุรกิจส่วนตัว มีค่ายมวยของตัวเอง รวมทั้งเปิดสอนมวยไทยสำหรับคนที่สนใจด้วย

ติดตามข่าวสารวงการมวยได้ที่ => ข่าวมวย