ชาตรี ศิษย์ยอดธง 

ชาตรี ศิษย์ยอดธง CEO ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ ONE Championship

คนทั่วไปรู้จักเขา ชาตรี ศิษย์ยอดธง ในบทบาทผู้กุมบังเหียน เบื้องหลังรายการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ก็ยังมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับชายผู้นี้ ที่มากกว่าการเป็นหัวเรือใหญ่ของ ONE Championship

ต้องบอกว่า กว่าที่เขาจะมาเป็น CEO บิ๊กบอสของวันแชมเปียนชิพได้นั้น เขาเคยเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ จากการดิ้นรนผ่านพ้น ความยากลำบาก จนกระทั่งมาถึงเป้าหมาย ด้วยความมุ่งมั่นอันเต็มเปี่ยม

ภูมิหลังของชาตรี นั้นน่าสนใจ เรียกว่าชีวิตระหกระเหิน พลิกผันยิ่งกว่าการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา ความลำบากในชีวิตชนิดแทบไม่มีจะกินหล่อหลอมให้เขาเป็นนักสู้และไม่ยอมแพ้ จนท้ายที่สุด เขาก็พลิกชะตาชีวิตสำเร็จ ขึ้นแท่นนักธุรกิจที่ประสบความเร็จ เป็นเจ้าของสปอร์ตเอ็นเทอร์เทนเมนต์มูลค่าเกือบ 1,000 ล้านเหรียญ

และนี่คือเรื่องราวที่จะทำให้คุณรู้จักเขามากขึ้น ชายที่ชื่อว่า ชาตรี ศิษย์ยอดธง

ชาตรี ศิษย์ยอดธง_1

ชาตรี ศิษย์ยอดธง มีวิชามวยไทยและบราซิเลียน ยูยิตสู สายม่วง

สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้บริหารคนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมศิลปะการต่อสู้ก็คือ เขาเคยผ่านจุดที่เคยเป็นนักกีฬามาก่อน และทำให้เขาเข้าใจความรู้สึกของนักกีฬา มีความฝัน และความภาคภูมิใจในตัวเอง

ชายผู้นี้รู้จักมวยไทยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเคยได้ฝึกวิชาในค่ายดังของประเทศไทย อย่าง ศิษย์ยอดธง แถมยังเคยผ่านเวทีระดับอาชีพ และยังคงลงนวมฝึกซ้อมต่อเนื่องมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ ถ้านับตั้งแต่จุดเริ่มต้นก็นับว่าล่วงเลยมากว่า 30 ปีแล้ว

นอกจากศิลปะการต่อสู้มวยไทย เขายังเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้ของบราซิเลียน ยูยิตสู ก่อนเป็นเจ้าของระดับสายม่วง ภายใต้การดูแลของ เรนโซ เกรซี

ความคลั่งไคล้ในศิลปะการต่อสู้ นำพาชาตรีมาสู่ EVOLVE MMA หนึ่งในโรงยิมชั้นนำของทวีปเอเชีย และ ONE Championship

“ผมยังฝึกซ้อมมวยไทยอยู่ทุกวัน รวมถึงเสริมทักษะบราซิเลียน ยูยิตสู เล็กๆ น้อยๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็คือความรักอย่างบ้าคลั่งในศิลปะการต่อสู้จะพาผมมาถึงจุดที่ให้กำเนิดเหล่าองค์กรที่ผมรักอย่าง ONE Championship, Evolve MMA, Evolve University, Evolve Vacation และ Evolve Fight Gear บางครั้งผมก็สงสัยว่าชีวิตผมจะเป็นอย่างไรนะ? ถ้าวันนั้นผมไม่ได้เดินเข้าไปในค่ายมวยศิษย์ยอดธง”

ชาตรี ศิษย์ยอดธง เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะเขาผ่านบททดสอบที่แสนสาหัสมาก่อน โดยตอนเรียนที่ Harvard Business School ชาตรีใช้เงินเพียง 4 ดอลลาร์ต่อวัน

หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Tufts University ชาตรีได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ Harvard Business School ซึ่งนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาพลิกชีวิต หลังจากครอบครัวต้องประสบสถานะล้มละลาย

ช่วงเวลาใน Harvard ของชาตรีนั้นไม่ง่ายเลย เขาได้กินอาหารแค่หนึ่งมื้อ ด้วยเงินแค่ 2-3 ดอลลาร์ต่อวันเท่านั้น แต่เพราะการทำงานหนักและความเพียรพยายามของเขาทำให้ผ่านจุดนั้นมาได้ ก่อนสานต่อจนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี 1999

“ในตอนนั้นผมมีกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่เก็บทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผมไว้ ผมอายมากที่ครอบครัวยากจน ผมต้องเก็บมันเป็นความลับสมัยที่เรียน Harvard การได้กินแค่วันละมื้อไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องไปบอกใครๆ โดยเฉพาะเมื่อคุณเรียนที่ Harvard ผมรอดชีวิตมาได้ด้วยเงินไม่กี่ดอลลาร์ต่อวัน ผมต้องระมัดระวังจนถึงขั้นทำตารางค่าใช้จ่ายรายวัน แค่ค่ารถไฟใต้ดินหรือค่ารถโดยสารผมยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”

แต่ในที่สุด เขาก็ได้เริ่มต้นธุรกิจใน Silicon Valley ก่อนจะหันมาลงทุนหุ้นใน Wall Street จนสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูคุณแม่และครอบครัวของเขา ซึ่งก่อนหน้านี้พบกับชีวิตที่ยากลำบากมาตลอด

ชาตรี ศิษย์ยอดธง 

ขึ้นเป็นเจ้าของกองทุนระดับ 500 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะเริ่มสร้าง ONE Championship

ก่อนที่เขาจะก้าวมาเป็น บิ๊กบอส ขององค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับพันล้านดอลลาร์ ชาตรี อยู่ในระดับท็อปของโลกมาก่อนแล้ว ด้วยวัยเพียง 37 ปี เขาเป็นเจ้าของกองทุน Hedge Fund (กองเงินสำหรับการลงทุนที่มาจากนักลงทุนหรือสถาบัน โดยมีผู้บริหารกองเงินเป็นผู้ดำเนินการลงทุนให้) ที่มีมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์

แต่ความร่ำรวยทางการเงินระดับร้อยล้าน ยังไม่เพียงพอที่จะดับกระหายเป้าหมายและความหลงใหลในตัวเขาได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขายอมทิ้งชีวิตใน Wall Street เมื่อปี 2011 ก่อนใช้ความรักในศิลปะการต่อสู้มาเติมเต็มความปรารถนาที่จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง จนเป็นจุดกำเนิดของ ONE Championship

9 ปีต่อมา ONE Championship กลายเป็นองค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีนักกีฬาระดับโลกมากกว่า 550 คน และดีกรีแชมป์โลกมากกว่า 140 คนจากหลากหลายศาสตร์ศิลปะการต่อสู้ทุกแขนงมารวมตัวกัน

“ศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งที่ผมหลงใหลในชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ผมเป็นส่วนหนึ่งของมัน ทั้งในฐานะผู้เรียน, นักสู้, ครู และโค้ช มาเกือบ 35 ปี มันเปลี่ยนแปลงชีวิตผมหลายด้าน มันมอบความกล้าหาญ, ความแข็งแกร่ง, ระเบียบวินัย, ความอ่อนน้อมถ่อมตน, จริยธรรมในการทำงาน และอื่นๆ อีกมากมาย”

“เหนือสิ่งอื่นใด มันทำให้ผมมีจิตวิญญาณแห่งนักรบในการเอาชนะความทุกข์ยาก และความปรารถนาในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมติดหนี้ศิลปะการต่อสู้อย่างมากกว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ต้องมีคำถามเลยว่าอะไรที่ทำให้ผมยืนหยัดมาได้จนถึงทุกวันนี้”

ในช่วงระยะเวลาราว 10 ปีที่ผ่านมา “วัน แชมเปียนชิพ” เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งในทวีปเอเชียไปจนถึงระดับโลก ภายใต้การบริหารงานของ ชาตรี ซีอีโอลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ที่ลงทุนทำธุรกิจเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ จากครอบครัวที่มีสถานะล้มละลาย สู่การเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นหมื่นล้าน

เวลานี้ วัน ขยายฐานแฟนคลับไปทั่วทุกมุมโลก แรกเริ่มเดิมทีอาจจะรู้จักกันในแถบทวีปเอเชีย แต่ปัจจุบันพวกเขาโด่งดังไปไกลถึงทวีปยุโรป และอเมริกา ถึงขนาดที่ต้องมีไฟต์แข่งขันในช่วงเวลา “ไพร์ม ไทม์” ของสหรัฐฯ เลยทีเดียว

ล่าสุด ONE มีโปรเจกต์สำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย จับมือกับสนามมวยลุมพินีที่ปัจจุบันควบคุมดูแลโดยกองทัพบก มีไอเดียร่วมกันในการผุด ONE Lumpinee สุดยอดรายการมวยไทยที่หลายคนให้ความสนใจ และตั้งตารอคอยเพราะจะเป็นรายมวยไทยที่ชกกันตามมาตรฐานของวัน แชมเปียนชิพ ไม่เหมือนกับมวยไทยตามรายการอื่น ๆ ทั่วไป

ซึ่งมีกำหนดแข่งขันกันในปี 2566 เป็นต้นไป พร้อมการันตีว่านักมวยแต่ละคนจะได้เงินจากรายการนี้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท และในปีหน้ากับรายการชิงแชมป์โลกมวยไทยของ ONE แชมป์ที่คว้าเข็มขัดไปครองอาจมีสิทธิ์ได้ค่าตัวสูงถึง 6 ล้านบาทเลยทีเดียว

ชาตรี ศิษย์ยอดธง 

การตัดสินใจทำ ONE Lumpinee อยากช่วยวงการมวยไทยให้ดีขึ้น

ในขณะที่ ONE ประสบความสำเร็จในระดับโลก สิ่งที่น่าเศร้ามากที่สุดก็คือ มวยไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากำลังตกต่ำ เพราะการพนันเข้ามามีอิทธิพล มีการจ่ายเงินให้กรรมการ ศิลปะมวยไทย มรดกของชาติ กำลังเลอะเทอะเปรอะเปื้อน แต่ทำไม ONE ถึงโตเร็ว

เพราะ วัน ทำให้มันเป็นกีฬาจริง ๆ แข่งขันกันแบบยุติธรรม ไม่ใช่ทำมาเพื่อเล่นการพนัน ปัจจุบันทั้งโปรโมเตอร์ เจ้าของค่าย เล่นการพนันเสียเอง แล้วก็จ่ายเงินให้กรรมการ ทั้งมีข่าวแย่ ๆ เรื่องล้มมวย และการขึ้นเวทีเรียกร้องให้เปลี่ยนผลการตัดสินคะแนน และชาตรีคิดว่าเรื่องนี้ไม่แฟร์ หากมวยไทยยังเป็นแบบนี้ต่อไปในอีก 5-10 ปี มวยไทยก็จะไม่เป็นมวยไทย

ตามประวัติศาสตร์ของมวยไทย เมื่อก่อนมีทั้งลุมพินี และราชดำเนิน ที่ถ่ายทอดสดในประเทศไทยอย่างเดียว แต่ ONE ถ่ายทอดสดไป 154 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการถ่ายทอดสดจากเวทีลุมพินีทุกอาทิตย์ไป 154 ประเทศทั่วโลก จะเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับนักมวยที่เมืองไทย จะกลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกมากขึ้น

ONE ถือเป็นรายการที่จ่ายค่าตัวให้นักมวยไทยมากที่สุดในโลก แต่นักมวยที่เป็นแชมป์ลุมพินี หรือราชดำเนิน พอเลิกชกไปแล้วทำไมพวกเขายังเป็นคนจนอยู่ เหตุผลนั้นเป็นเพราะโดนโปรโมเตอร์ หรือหัวหน้าค่ายเอาเปรียบ หากเทียบกับกีฬาอื่นทำไมเดวิด เบ็คแฮม หรือคริสเตียโน โรนัลโด ถึงกลายเป็นนักกีฬาค่าตัวแพง เพราะว่ากีฬาอื่น ๆ เขาทำกันแบบยุติธรรม เขาปั้นนักกีฬาของเขาให้เป็นที่สุดของที่สุดจริง ๆ ซึ่งชาตรีก็มีความตั้งใจที่จะทำให้นักมวยไทยกลายเป็นแบบนั้นบ้าง

พร้อมการันตีว่า ในปีหน้านี้ ONE Lumpinee นักมวยไทยที่ได้แชมป์มวยไทยของ วัน แชมเปียนชิพ จะมีสิทธิ์ได้ค่าตัวอย่างน้อยถึง 4 ล้านบาท ซึ่งถ้ารวมโบนัสไปอีก ก็จะได้ถึง 6 ล้านบาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มวยไทยไม่เคยมีมาก่อนที่แชมป์จะได้เงินถึง 6 ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของมวยจาก : ดูบอล , แทงบอลโลก

อ่านเพิ่มเติม => นักมวยหญิง